รูป

Welcome To My Blogger

วันอาทิตย์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

เทคนิคการเล่นกอล์ฟ

เทคนิค “การเล่นเกมส์สั้น”
มี อยู่สองวิธีด้วยกันที่จะทำให้ลูกกอล์ฟตกและหยุดอย่างรวดเร็ว วิธีที่หนึ่งคือ ใส่แบ็คสปินมากๆ หรือ วิธีที่สองคือการบังคับวิถีโคจรของลูกให้สูงโด่งแต่นุ่มนวลซึ่งเมื่อตกถึง พื้นแล้วก็จะหยุดเกือบทันที และเนื่องจากนักกอล์ฟส่วนใหญ่จะมีปัญหาการใส่แบ็คสปิน ฉะนั้นการบังคับวิถีโคจรของลูกจึงเป็นวิธีที่ง่ายกว่า
ช็อต ที่ต้องใช้การบังคับลูกที่แม่นยำได้แก่ ช็อตจากรัฟข้างกรีนซึ่งหน้าไม้กอล์ฟมักจะตัดผ่านหญ้าก่อนที่จะกระทบกับลูก กอล์ฟทำให้สปินได้น้อยลง นักกอล์ฟฝีมือดีก็จะสามารถปรับมุมของหน้าไม้กอล์ฟให้ลึกลงในเวลาที่กระทบกับ ลูกเพื่อลดการเสียดสีจากหญ้าและเป็นการเพิ่มสปินให้กับลูกอีกด้วย แต่นักกอล์ฟส่วนใหญ่ที่พยายามจะใช้วิธีนี้ก็มักจะลงเอยด้วยการตีท็อปลูกเฉย เลย
ฉะนั้น ...หากครั้งต่อไปท่านนักกอล์ฟต้องพิทช์ไปยังพินในระยะกระชั้น ซึ่งท่านจำเป็นต้องให้ลูกกอล์ฟตกและหยุดทันทีเหมือนเวลาตกในหลุมทราย ท่านจะต้องตีลูกให้โด่งเพื่อที่จะบังคับให้ลูกตกอย่างนุ่มนวลตามขั้นตอนต่อ ไปนี้...

ตั้งองศาหน้าไม้ให้เหมาะสม
ท่าน นักกอล์ฟทราบหรือไม่ว่าเมื่อตีออกจากรัฟมีหญ้ามากน้อยแค่ไหนที่อยู่ระหว่าง หน้าไม้กอล์ฟกับลูก ท่านจะต้องแครี่ลูกไปไกลแค่ไหน หญ้านั้นแข็งหรือนิ่ม องค์ประกอบเหล่านี้จะเป็นกำหนดองศาหน้าไม้ที่ท่านต้องการ ให้ลองนึกภาพจุดตกที่ท่านต้องการรวมทั้งความสูงของช็อตด้วย เสร็จเรียบร้อยก็ให้ตั้งองศาหน้าไม้ในจังหวะแอ็ดเดรสอย่างเหมาะสมเพื่อให้ วิถีโคจรของลูกที่ต้องการ
ตัวอย่าง เช่น ถ้ามีหลุมทรายอยู่หน้าพิน ให้หยิบเว็ดจ์ที่มีองศาหน้าไม้มากที่สุดและเปิดหน้าไม้กว้างจนหน้าไม้กอล์ฟ หงายขึ้นฟ้า การปรับองศาหน้าไม้นี้จะช่วยให้เว็ดจ์ขนาด 56-60 องศามีประสิทธิภาพเท่ากับหรือมากกว่าขนาด 80 องศาเลยทีเดียว

ตีให้ตรง
นัก กอล์ฟสมัครเล่นส่วนใหญ่มักจะใช้ไม้กอล์ฟที่มีองศาหน้าไม้น้อยกว่าที่ควรแต่ จะใช้วิธีเน้นที่จังหวะลงดาวน์สวิงแทน ซึ่งการกระทำดังกล่าวจะทำให้หัวไม้กอล์ฟเคลื่อนผ่านมือทั้งสองข้างก่อนที่จะ ถึงจังหวะที่ตีออกไป ทำให้ตีแป้ก
วิธีตีที่ถูกต้องก็คือ หลังจากจัดองศาหน้าไม้ให้เหมาะสมตามที่แนะนำข้างต้นแล้ว จากนั้นก็ตีออกไปด้วยองศาหน้าไม้แบบนั้นเลย ให้นึกภาพเส้นตรงสมมุติในจังหวะที่หน้าไม้กอล์ฟกระทบกับลูกซึ่งลากจากหัว ไหล่ซ้ายลงมายังแขนและข้อมือซ้ายหน้าไม้กอล์ฟและลูกกอล์ฟ
พยายามรักษาข้อมือซ้ายให้เฟิร์มองศาหน้าไม้ที่ตั้งไว้อย่างดีในตอนแรกนั้น เพียงพอแล้วที่จะทำให้ลูกลอยโด่ง ยืนเปิดเล็กน้อย ลูกกอล์ฟอยู่ตรงกลางแต่ค่อนมาทางเท้าซ้ายเล็กน้อย ปล่อยน้ำหนักตัวให้อยู่ทางด้านซ้ายมากกว่าด้านขวา ท่านควรจะสวิงออกไปเต็มวง ยิ่งรัฟหนา ท่านยิ่งต้องสวิงให้แรงเพื่อตีลูกให้พ้นออกมา

เทคนิคการพัต/การอ่านไลน์ ( รู้ทันกรีน มีชัยไปกว่าครึ่ง )
การพัตนั้นเป็นส่วนสำคัญของการเล่นกอล์ฟ ในการแข่งขันในระดับนักกอล์ฟอาชีพนั้น การพัตเป็นช็อตที่บ่งชี้ว่าใครที่จะเป็นผู้ชนะ สโตรคเฉลี่ยของนักกอล์ฟอาชีพนั้นอยู่ที่ 1 พัตกว่าๆเท่านั้นเอง แต่สำหรับนักกอล์ฟสมัครเล่นทั่วๆไปนั้นต่อการเล่นกอล์ฟ 18 หลุมนั้นไม่มีสามพัตก็มีความสุขแล้ว

ทำอย่างไร ที่ไม่ให้เกิดสามพัตในการเล่นกอล์ฟของเราก็ต้องฝึกฝนและมีความรู้ในการอ่านกรีน
ประกอบด้วยดังนี้
การพัต มีองค์ประกอบสำคัญ 2 ส่วน คือ

1.การสโตรคลูก พื้นฐานการสโตรคลูกที่ดีนั้นลูกจะต้องกลิ้งออกจากหน้าไม้อย่างราบเรียบนุ่ม นวล ไม่มีการกระโดด และตรงไปตามแนวเป้าหมายโดยที่ไม่หมุนออกจากแนวเป้าหมายครับ ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการสโตรคลูกมีอีกสองประการ คือ

1.1 ทิศทาง หมายถึง การเล็งเป้าหมายครับ การเล็งเป้าหมายควรจะเป็นลักษณะ สแควร์ หมายถึงการจัดหน้าไม้และร่างกายให้ขนานกับแนวเป้าหมาย เมื่อสโตรคลูกออกไปแล้ว ลูกจะต้องวิ่งออกไปทางเป้าหมายเสมอ

1.2 ระยะทาง หมายถึง การให้น้ำหนักของลูกที่กลิ้งออกจากหน้าไม้ไปยังเป้าหมาย ความหมายของการให้น้ำหนักจะมาจากการที่สายตามีความสัมพันธ์กับมือ

2. พัตไลน์ คือ เรื่องของการอ่านทางวิ่งของลูกบนกรีน ถ้าอ่านทางวิ่งได้ดีลูกก็จะวิ่งเข้าเป้าหมายได้มากที่สุดในทางตรงกันข้ามถ้า อ่านผิด ลูกก็จะวิ่งหนีเป้าหมายออกไป ปัจจัยของทางวิ่งของลูกบนกรีนนั้นจะประกอบไปด้วยสองปัจจัยก็คือ

2.1 การอ่านสโลป การอ่านสโลปหมายถึงการอ่านความเอียงของพื้นผิวกรีน ซึ่งจะมีความเอียงหลักๆอยู่สี่ทาง

2.1.1 ทางขึ้นเนิน หมาย ถึงลูกจะกลิ้งได้ระยะทางน้อยกว่าพื้นเรียบ เมื่อน้ำหนักเท่ากัน

2.1.2 ทางลงเนิน หมายถึงลูกจะกลิ้งได้ระยะทางมากกว่าพื้นเรียบ เมื่อน้ำหนักเท่ากัน

2.1.3 สโลปเอียงขวา หมายถึงลูกจะกลิ้งไปซ้าย มากเท่าไรขึ้นอยู่กับความชันของสโลป

2.1.4 สโลปเอียงซ้าย หมายถึงลูกจะกลิ้งไปทางขวา มากเท่าไหร่ขึ้นอยู่กับความชันของสโลป

2.2 การอ่านทิศทางของแนวใบหญ้าบนผิวกรีน ก็มีอยู่ด้วยกันห้าทิศทาง

2.2.1 แนวย้อนหญ้า หมายถึง แนวยอดหญ้าแทงเข้าหาตัวเรา เมื่อเรายืนหลังลูกและหันหน้าไปยังหลุมจะมีผลให้ลูกกลิ้งช้าลงแต่มีผลน้อยกว่าสโลปขึ้นเนิน

2.2.2 ตามแนวหญ้า หมายถึง แนวยอดหญ้าแทงเข้าหาหลุมเมื่อเรายืนหลังลูกและหันหน้าไปยังหลุม จะมีผลทำให้ลูกกลิ้งเร็วขึ้น แต่มีผลน้อยกว่าสโลปลงเนิน

2.2.3 ยอดหญ้าแทงไปทางขวาของหลุม เมื่อเรายืนหลังลูกและหันหน้าไปยังหลุม จะมีผลทำให้ลูกกลิ้งไปทางขวาเล็กน้อย แต่มีผลน้อยกว่าสโลปเอียงซ้าย

2.2.4 ยอดหญ้าแทงไปทางซ้ายของหลุม เมื่อเรายืนหลังลูกและหันหน้าไปยังหลุมจะผลทำให้ลูกกลิ้งไปทางซ้ายเล็กน้อย แต่มีผลน้อยกว่าสโลปเอียงขวา

2.2.5 แนวยอดหญ้าไม่เป็นระเบียบ จะมีผลต่อการกลิ้งของลูกไม่มากให้เล็งลูกไปตามแนวเป้าหมายเหมือนเดิม
ใน กรณีที่เล่นในสนามที่เป็นภูเขาการอ่านสโลปบนกรีนนั้นจะต้องดูสภาพแวดล้อมของ ภูมิประเทศเป็นหลักด้วยครับอย่างเช่นในกรณีที่ด้านใดด้านหนึ่งของกรีนเป็น ภูเขาด้านนั้นจะเป็นสโลปขึ้นเนินถึงแม้ว่าเราจะไปยืนบนกรีนแล้วจะมองจากลูก ไปยังหลุมเป็นทางลงก็ตาม

เมื่อเราเรียนรู้เรื่องของการพัตแล้วที่เหลือจะเป็นประสบการณ์ในการที่เราจะนำความรู้ทั้งหมดมา

ประยุกต์ ให้เข้ากันเพื่อให้ลูกวิ่งเข้าเป้าหมายมากที่สุดวิธีการที่ดีที่สุดก็คือการ ทำซ้ำๆนั้นเองเวลาที่ไปเล่นกอล์ฟก็ลองสังเกตกรีนและลองเดาทางวิ่งของลูกดู และสอบถามกับแค้ดดี้ของท่านดูว่าตรงกันหรือไม่แล้วลองชั่งใจดูว่าจะเชื่อแค้ ดดี้หรือตัวเอง

ถ้าได้ทำอย่างนี้ซ้ำๆ รับรองว่าท่านจะพัตได้ใกล้เคียงขึ้นแน่นอน และจะลดอาการสามพัตลงอย่างเห็นได้ชัดเลย ทำให้เล่นอย่างมีความสุข วันนี้ขอให้ท่านได้เบอร์ดี้มากๆครับ

โปร กานต์ เกษมจิรโชค ผู้เผยแพร่
ขอขอบคุณ หนังสือสมาร์ทกอล์ฟ

วันอังคารที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

9 วิธี ทำให้รู้สึกดีในวันที่แย่ ๆ

ทุกคนล้วนมีวันที่แย่ ๆ กันทั้งนั้น เช่นไม่ว่าวันนั้นจะทำอะไร ทุกอย่างก็ดูเลวร้ายไปซะหมด เหมือนอะไรก็ไม่เข้าข้าง แต่ในความโชคร้ายก็มีเรื่องดี เมื่อเรามีวิธีที่จะทำให้คุณรู้สึกดีขึ้นมานำเสนอ หลาย ๆ ข้ออาจทำให้คุณประหลาดใจ แต่หากวันใดคุณต้องมีวันเหล่านั้น อย่าลืมนำวิธีเหล่านี้ออกมาใช้ อาจจะช่วยลดรอยเหี่ยวย่นที่เกิดพร้อมความกังวล แถมมาก่อนวัยได้เป็นอย่างดี

1. อ่านหนังสือดี ๆ

การอ่านหนังสือสำหรับบางคน อาจทำให้รู้สึกดีขึ้นได้ โดยฉพาะหากเป็นหนังสือเล่มโปรด หนังสือของผู้แต่งที่ชื่นชอบ เพราะการอ่านหนังสือนั้นจะช่วยเปิดมุมมอง ดึงคุณไปสู่เรื่องน่ารู้ ทำให้คุณเพลิดเพลินไปกับสิ่งต่า งๆ มากมาย ลองหยิบหนังสือสักเล่มในวันที่เงียบเหงา แล้ววันนั้นตัวหนังสือจะโลดแล่นไปในใจคุณให้กระชุ่มกระชวยขึ้นมาก็เป็นได้

2. ทำดีต่อผู้อื่น

คุณเคยสังเกตไหมว่าเมื่อคุณทำดีต่อผู้อื่น อารมณ์ของคุณก็จะดีตามไปด้วย การทำดีกับผู้อื่นมักจะทำให้วันที่แย่ๆ ของเราดีขึ้นเสมอ เพราะเราจะรู้สึกสบายใจเมื่อเราได้ช่วยเหลือคนอื่น บางครั้งชีวิตเราก็มีคุณค่าสำหรับคนอื่นเหมือนกันนะ อย่าคิดว่าตัวเองต่ำต้อยด้อยค่าอะไรอีกเลย หันไปทำสิ่งดี ๆ กับคนรอบข้างดีกว่านะ

3. ทำจิตใจให้บริสุทธิ์

บางครั้งความยุ่งยากวุ่นวายต่าง ๆ คงทำให้คุณรู้สึกแย่ ในที่นี้หมายถึงความวุ่นวายทางใจ หากจิตใจคุณเต็มไปด้วยเรื่องราวอันน่าสับสน ปั่นป่วน ลองนั่งสมาธิหรืออย่างน้อยที่สุดใช้เวลาอยู่กับตัวเองสักพักดูสิ สิ่งนี้จะสามารถทำใจให้โล่งสบายได้ เพราะคุณได้มีเวลาอยู่กับตัวเอง ทบทวนเรื่องราวที่เกิดขึ้น และพร้อมจะตั้งมั่นในการแก้ไขเรื่องอะไรก็ตามให้ดีขึ้นไงล่ะ

4. กระฉับกระเฉงอยู่เสมอ

การกระตือรือร้น แอคทีฟ หรือการออกกำลังกายซะบ้างก็สามารถช่วยได้ คุณอาจไม่จำเป็นต้องถึงขนาดวิ่งเข้าโรงยิม เพียงแค่คุณมีกิจกรรมใด ๆ ก็ตามทำทุกวัน นอกจากจะช่วยด้านจิตใจแล้ว ก็ยังช่วยด้านร่างกายในการหลั่งสารเอ็นโดรฟินซึ่งจะช่วยให้ร่างกายทำงานอย่างมีสมดุล
feeling good

5. หากิจกรรมทำ

บ่อยครั้งที่คุณสามารถพัฒนาอารมณ์ของคุณให้คงที่ได้โดยการทำงาน รวมถึงหากิจกรรมอื่น ๆ ทำด้วย ไม่ว่าจะเป็นการทำอาหารด้วยเมนูใหม่ ๆ จัดชั้นหนังสือใหม่ ตกแต่งห้อง ลองหาต้นไม้มาปลูกเพิ่ม ทำความสะอาดครัว ฯลฯ ในยามที่คุณกำลังมุ่งมั่นทำสิ่งใดนั้น ก็จะช่วยให้คลายความรู้สึกที่ไม่ดีที่ติดในใจได้ แถมเราจะได้สิ่งใหม่ ๆ มาประดับชีวิตเราอีกด้วย ลองดูสิ

6. แสดงมันออกมา

จากการศึกษาพบว่าคุณควรจะแสดงในสิ่งที่คุณต้องการแสดงออกมา ถ้าคุณอยากเศร้า คุณก็จงแสดงออกมา อยากร้องไห้ ก็ร้องมาเลย ถ้าคุณอยากจะมีความสุข คุณก็สามารถกระตุ้นตัวเองให้มีความสุขได้โดยการยิ้ม หัวเราะ ดังนั้นคุณต้องการให้ตนเองมีความสุขก็พยายามยิ้ม หัวเราะออกมา

7. กำลังใจจากผู้อื่น

บางทีคุณก็ต้องการให้ใครสักคนนึงอยู่ข้างๆ คุณ มาทำให้คุณรู้สึกดีขึ้น นั่นก็คือคุณต้องบอกคนที่คุณรักว่าคุณต้องการกำลังใจจากพวกเขา พวกเขาไม่สามารถรู้ได้โดยอัตโนมัติเพียงแค่บอกพวกเขาอย่างตรงไปตรงมาก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่น่าลอง

8. พักผ่อน

ความจริงก็คือ การพักผ่อนเป็นหนทางที่แทบจะดีที่สุด ที่จะทำให้คุณพักจากวันแย่ๆ ของคุณ เมื่อใดที่คุณรู้สึกแย่และเศร้า ให้คุณพักผ่อนสักขณะเพื่อให้ผ่านเรื่องราวเหล่านั้นและเมื่อตื่นขึ้นมาคุณก็จะรู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้น

9. การพูดคุย

ข้อสุดท้ายนี้ ก็คือ ใช้เวลาอยู่กับคนที่คุณรักก็ทำให้คุณรู้สึกดีขึ้น คุณอาจจะพูดคุยกับเพื่อนสนิทของคุณ เพียงแค่พูดคุยกับคนอื่น ๆ ก็จะทำให้อารมณ์คุณดีขึ้น

มีหลายวิธีที่แตกต่างกันไปที่จะทำให้วันแย่ ๆ ของคุณกลายเป็นวันที่ดีได้ จริง ๆ แล้วมันขึ้นอยู่กับคุณว่าคุณจะเลือกให้ตนเองเป็นอย่างไร แต่ในวิธีการเหล่านี้ก็อาจจะมีข้อหนึ่งที่คุณรู้สึกว่ามันช่วยคุณได้จริง ๆ และคุณก็ควรจะทำเมื่อคุณรู้สึกแย่ เท่านี้วันแย่ ๆ ก็กลับกลายเป็นดีได้...อยู่ที่ตัวคุณ

วันอาทิตย์ที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2554

ย่อหลักกฎหมายหนี้

ย่อหลักกฎหมายหนี้

ข้อที่ 2 จะเป็นกฎหมายหนี้ นิติกรรมสัญญา หนี้??ม.194 ? ม.353 , นิติกรรม ??ม.149 ? ม.181 , สัญญา??ม.354 ? ม.394
ซึ่งในกฎหมายหนี้ จะมีขอบเขตและเนื้อหา ที่เราสามารถแยกพิจารณาได้ดังนี้
2.1 ชุดวัตถุแห่งหนี้??ม.ที่สำคัญ คือ ม.194 + ม.195 + ม.196 + ม.198 + ม.202
2.2 ชุดผิดนัด??เราสามารถแยกออกเป็นชุดย่อยๆได้ดังนี้
2.2.1 ชุดลูกหนี้ผิดนัด??ม.ที่สำคัญๆ คือ ม.203 + ม.204 + ม.206?.โดยมี ม.205 เป็นข้อยกเว้น ??เป็นส่วนคัญอันหนึ่งของกฎหมายหนี้??จึงควรทำความเข้าใจให้ดี
2.2.2 ชุดเจ้าหนี้ผิดนัด??ม.ที่สำคัญ ก็คือ ม.207 + ม.210??โดยมี ม.211 + ม.212
เป็นข้อยกเว้น
2.3 ชุดสิทธิของเจ้าหนี้ ในกรณีที่ลูกหนี้ผิดนัด??ม.ที่สำคัญๆ ก็คือ ม.213 + ม.214 + ม.215 + ม.216??ในส่วนนี้เราควรทำความเข้าใจว่า เมื่อลูกหนี้ตกเป็นผู้ผิดนัดแล้ว เจ้าหนี้ย่อมที่จะเกิดสิทธิดังต่อไปนี้ขึ้นมา กล่าวคือ
2.3.1 สิทธิในการที่จะเรียกให้ลูกหนี้ชำระหนี้โดยเฉพาะเจาะจง ตาม ม.213
2.3.2 สิทธิในการที่จะให้ชำระหนี้ของตนจากทรัพย์สินของลูกหนี้จนสิ้นเชิง ตาม ม.214
2.3.3 สิทธิในการที่จะเรียกค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายที่เกิดจากการที่ลูกหนี้ผิดนัดไม่ชำระหนี้ ตาม ม.215?..ในส่วนนี้ให้ดู ม.222 + ม.223 ประกอบด้วยจะดีมากครับ??( โดยเฉพาะ ม.223 นั้น สามารถโยงไปหา ม. 442 ของกฎหมายละเมิดได้ด้วย )
2.3.4 สิทธิในการบอกปัดไม่รับชำระหนี้ ถ้าการชำระหนี้นั้นเป็นอันไร้ประโยชน์แก่เจ้าหนี้ ตาม ม.216
2.3.5 สิทธิในการบอกเลิกสัญญา ตาม ม.387 + ม.388
2.4 ชุดความรับผิดของลูกหนี้??.ม.ที่สำคัญๆในส่วนนี้ ก็คือ ม.217 + ม.218 + ม.219ในส่วนนี้มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งอันหนึ่งของกฎหมายหนี้??ดังนั้นจึงควรที่จะทำความเข้าใจให้ดี??และในส่วนนี้สามารถโยงไปหา ม.370 + ม.371 + ม.372 ได้ และมักจะนำมาออกคู่กันอยู่เสมอๆ??ดังนั้นจึงควรที่จะต้องดูเชื่อมโยงกันด้วยจะดีเอามากๆ?..( ในส่วนนี้ถ้ามีเวลาผมอาจจะเขียนบทความเอาไว้ให้??อย่างไร ก็ช่วยเตือนผมด้วยนะครับ )
2.5 ชุดเครื่องมือของเจ้าหนี้ในการที่จะบังคับให้สมดังสิทธิของเจ้าหนี้??ในส่วนนี้เราควรที่จะทำความเข้าใจก่อนว่า ในระหว่างที่เป็นเจ้าหนี้เป็นลูกหนี้กันนั้น อาจจะมีเหตุการณ์ต่างๆเกิดขึ้นมา แล้วอาจทำให้สิทธิของเจ้าหนี้ที่มีต่อลูกหนี้สูญ เสียหรือเสียหายได้??ดังนั้นกฎหมายจึงได้กำหนดหลักเกณฑ์ ( ซึ่งเราจะเรียกในที่นี้ว่า เครื่องมือของเจ้าหนี้ ) ขึ้นมา??เพื่อให้เจ้าหนี้ได้ใช้บังคับไม่ให้สิทธิที่ตนมีอยู่นั้นต้องสูญเสีย หรือเสียหายไป นั่นเอง??โดยเครื่องมือของเจ้าหนี้มีดังต่อไปนี้
2.5.1 รับช่วงสิทธิ??ม.ที่สำคัญ ก็คือ ม.226 + ม.227 + ม.228 + ม.230
2.5.2 การใช้สิทธิเรียกร้องของลูกหนี้??ม.ที่สำคัญ คือ ม.233 + ม.235 + ม.236
2.5.3 เพิกถอนการฉ้อฉล??ม.ที่สำคัญ คือ ม.237 + ม.238
2.3.4 สิทธิยึดหน่วง??ม.ที่สำคัญ คือ ม.241 + ม.242 + ม.243 +ม.24

2.6 ชุดเจ้าหนี้ร่วมลูกหนี้ร่วม??ม.ที่สำคัญๆ ก็คือ ม.290 + ม.291 + ม.292 + ม.294 + ม.296 + ม.300 + ม.301
2.7 ชุดโอนสิทธิเรียกร้อง??ม.ที่สำคัญๆ ก็คือ ม.303 + ม.304 + ม.306 + ม.308
2.8 ชุดความระงับแห่งหนี้??ในส่วนนี้พึงควรทำความเข้าใจก่อนว่า จะมีเฉพาะแต่กรณีดังต่อไปนี้เท่านั้นที่จะทำให้หนี้ที่มีอยู่นั้นระงับลงไป??.ดังนั้นถ้านอกเหนือไปจากนี้แล้วย่อมไม่ทำให้หนี้ที่มีอยู่นั้นระงับลงไปแต่อย่างใดไม่??.ซึ่งกรณีที่ทำให้หนี้ระงับมีดังต่อไปนี้
2.8.1 การชำระหนี้??.ม.ที่สำคัญ ก็คือ ม.314 + ม.315 + ม.320 + ม.321 + ม.330 + ม.331
2.8.2 ปลดหนี้??ม.ที่สำคัญ คือ ม.340
2.8.3 หักกลบลบหนี้??ม.ที่สำคัญ ก็คือ ม. 341 + ม.342 + ม.344 + ม.345 + ม.346
2.8.4 แปลงหนี้ใหม่??ม.ที่สำคัญ ก็คือ ม.349 + ม.350 + ม.351
2.8.5 หนี้เกลื่อนกลืนกัน??ม.ที่สำคัญ ก็คือ ม.353

วันเสาร์ที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2554

วิทยาศาสตร์มีประโยชน์กับบ้านอย่างไร

เมื่อคำว่าประโยชน์ใช้มนุษย์เป็นที่ตั้งแล้ว สิ่งที่เรามองค่าที่ก่อให้เป็นบวก + ในเชิงวิทยาศาสตร์ก็กลายเป็นผลบวกในทางอ้อม หรือการประยุกต์ ดังที่ครูแก่เล่าได้ครอบคลุมมาก
ตอบเป็นปรัชญา คือ วิทยาศาสตร์เป็นการพัฒนากระบวนการวิทยาศาสตร์นั้นเอง เช่น กลุ่มนักวิจัยลงทุนด้วยการสร้างห้องจำลองการเกิดการระเบิดของอนุกภาคของศูนย์วิจัยเซิร์น มากกว่าเงินพัฒนาประเทศไทยอีก ประโยชน์คืออะไร ถ้าตอบต่อบ้าน ต่อโรงเรียนและสถานต่าง ๆ ก็นักวิจัยนั้นคงพูดไม่ออก แต่ถ้าตอบเพื่อทราบสัมผัส รู้ เข้าใจ ใช้ และตัดสินใจในอนาคตนั้น มันเกี่ยวโยงได้ ความรู้ความสามารถวิทยาศาสตร์ปกป้องโลก จากการทำนายล้างโลกได้ คำทำนายอาศัยประสบการณ์สัมผัสแล้วตัดสินใจ แต่กระบวนการวิทยาศาสตร์มีความเป็นระบบไม่ลัดขั้นตอน ใช้ระยะเวลาที่มากแต่มั่นคง
การมีชีวิตอยู่ของคนที่พึ่งสิ่งที่เกิดจากความเข้าใจ และสร้างสรรค์งานต่าง ๆ ออกมานั้น เป็นผลจากการทราบแค่ข้อเล็ก ๆ ของวิทยาศาสตร์ที่มาประดิษฐ์ประดอยต่อกัน คนที่สร้างทฤษฎีพลังงานอาจจะสร้างพลังงานสู้คนที่เข้าใจเรื่องพลังงานไม่ได้ ก็มี ด้วยปัจจัยหลาย ๆ ประการ มนุษญ์จึงจำเป็นต้องพึ่งพาอาศัยความรู้ใร้ขีดจำกัดของการปิดบัง
วิทยาศาสตร์จึงเป็นตรรกะ ง่ายที่สุดที่ทำให้คนแต่ละภาษาเข้าใจตรงกันง่ายที่สุดเช่นกัน
ประโยชน์ก็เพื่อการปรับตัวไม่ว่าจะเป็นคน สัตว์ สิ่งของ สิ่งต่าง ๆ บนโลกใบเดียวกันล้านจำเป็นต้องปรับตัวเพื่อความอยู่รอดเช่นเดียวกัน
มนุษย์พยามที่จะเรียนรู้ได้ว่าการมีชีวิตรอดในสภาวะที่มีเชื้อโรคที่หลากหลายชนิดมากกว่าครั้นหมื่นหรือสองหมื่นปีมานั้น ด้วยกระบวนการเรียนรู้และการถ่ายทอดทักษะทางวิทยาศาสตร์มีลำดับที่แน่นนอน ถึงแม้นจะมีข้อจำกัดอยู่บ้างแต่ข้อจำกัดเหล่าน้นก็ลดน้อยลงเรื่อย ๆ เพื่อประโยชน์ของมนุษย์นั้นเอง
ความสำคัญของวิทยาศาสตร์จึงเป็นเหตุให้เกิดประโยชน์ของวิทยาศาสตร์ตามมานั้นเอง
วิทยาศาสตร์มีประโชน์ ต่อบ้าน โรงเรียน และสถานที่ต่างๆ ดังนี้

วิทยาศาสตร์มีประโยชน์ต่อมนุษย์และมีบทบาทสำคัญต่อการพัฒนาประเทศ ผลของการศึกษาค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์ เกี่ยวโยงกับความเจริญในด้านต่างๆ เช่น การแพทย์ การสื่อสารคมนาคม การเกษตร การศึกษา การอุตสาหกรรม การเมือง การเศรษฐกิจ ฯลฯ สรุปได้ดังนี้
1. วิทยาศาสตร์ช่วยให้มีความสามารถในสังคม ในสังคมที่มีสิ่งแวดล้อมทางวิทยาศาสตร์ บุคคลที่มีความรู้ทางวิทยาศาสตร์ จะเป็นผู้มีความสามารถ และมีความสำคัญต่อการพัฒนาชุมชนและสังคม
2. วิทยาศาสตร์ช่วยแนะแนวอาชีพ วิทยาศาสตร์ก่อให้เกิดอาชีพหลายสาขา และเป็นประโยชน์ต่อการดำรงชีวิต
3. วิทยาศาสตร์ช่วยให้เกิดความเจริญทางร่างกายและจิตใจ การได้รับความรู้ทางวิทยาศาสตร์ทั้งทางด้านทฤษฎีและปฏิบัติ ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพ อนามัย อาหาร การดำรงชีวิต จะช่วยให้ร่างกายเจริญเติบโตและมีสุขภาพแข็งแรง
4. วิทยาศาสตร์ช่วยให้เป็นผู้บริโภคที่สามารถ หมายถึง การตัดสินใจในการใช้สินค้าหรือบริการต่างๆ โดยอาศัยหลักการทางวิทยาศาสตร์
5. วิทยาศาสตร์ช่วยให้รู้จักใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ในการศึกษาค้นคว้าเรื่องที่สนใจ
6. วิทยาศาสตร์ช่วยให้รู้จักใช้ทรัพยากรธรรมชาติให้เป็นประโยชน์
7. วิทยาศาสตร์ช่วยแก้ปัญหาต่างๆ
ความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มีบทบาทสำคัญต่อชีวิตประจำวัน การที่เราจะอยู่ได้อย่างทันโลกและทันเหตุการณ์ จำเป็นต้องศึกษาหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์ใหม่ อยู่เสมอ เพราะวิทยาศาสตร์มีประโยชน์เกี่ยวข้องกับชีวิต และเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างคุณภาพที่ดีแก่ชีวิต

ข้อดีของ ความทุกข์-ความสุข

ข้อดีของความทุกข์

ทำให้เราเข้มแข็งขึ้น
ทำให้รู้ถึงค่าของความสุข
ทำให้เรามีความสามารถมากขึ้น
ทำให้เรามีสิ่งที่ต้องทำ (ทำเพื่อให้หายทุกข์)
ทำให้เรามีประสบการณ์ในการแก้ปัญหามากขึ้น
ทำให้เรามีความอดทนมากขึ้น
ทำให้ความสุขมีค่ามากขึ้น
ทำให้มีความระมัดระวังมากขึ้น
ทำให้เรามองโลกกว้างมากขึ้น
ทำให้เราเห็นได้ว่าใครคือคนที่เป็นที่พึ่งยามยากของเรา
ทำให้เราได้รู้ว่ามีใครบ้างที่ห่วงเรา
ทำให้เราได้รู้ว่ามีใครบ้างที่เป็นมิตรแท้ของเรา
ทำให้รู้ได้ว่าเพื่อนของเรามีความสามารถแค่ไหน
ทำให้เรารู้ว่าใครมีความสามารถขนาดไหน
ทำให้เรารู้ได้ว่ามีคนไหนที่รักเราจริง
ทำให้เรารู้ว่าการหัวเราะเป็นสิ่งจำเป็น
ทำให้เราพยายามที่จะมองโลกในแง่ดีมากขึ้น
ทำให้เรามาค้นหาข้อดีของความทุกข์

ข้อดีของการทำใจให้เป็นสุข

ทำให้เราสดชื่นขึ้น
ทำให้ไม่อยากคิดเรื่องทุกข์
ทำให้เรามีความสามารถมากขึ้น
ทำให้เรามีสิ่งที่ต้องทำเพื่อเพิ่มเติมความสุข
ทำให้เรามีแนวความคิดทางด้านดี
ทำให้เรามีความมุ่งหมายให้คนอื่นมีสุขมากขึ้น
ทำให้ความทุข์หมดค่า
ทำให้อยากรักษาความสุขเอาไว้เสมอๆ
ทำให้เรามองโลกกว้างมากขึ้น
ทำให้เราเห็นได้ว่าใครคือคนที่ดีในสายตาเรา
ทำให้เราได้รู้ว่ามีใครบ้างที่คิดดีกับเรา
ทำให้เราได้รู้ว่ามีใครบ้างที่เป็นมิตรเรา
ทำให้เราได้ว่าแสดงให้เห็นว่าเรามีความสามารถแค่ไหน
ทำให้เรารู้ว่าความอิ่มเอมเป็นเช่นใด
ทำให้เรารู้ได้ว่าเรารักใคร
ทำให้เรารู้ว่าการหัวเราะเป็นเพียงสิ่งที่นำมาซึ่งความสุข
ทำให้เรามองโลกในแง่ดีมากขึ้น
ทำให้เรามาค้นหาการกำจัดความทุกข์
ทำให้ชีวิตคนรอบข้างมีสุขตามเรา
ทำให้งานมีคุณภาพ
ทำให้สังคมสดชื่น
ทำให้คนอื่นๆ อยากคบหาสมาคมกับเรา
ทำให้ทำสิ่งใดก็มีแต่คนช่วยเหลือ..
ทำให้เราได้ทำจิตให้สงบ
ทำให้เราได้ปลงกับกับความสุข
ทำให้เรามองความสุขเป็นเรื่องที่ต้องมี
ทำให้คนรอบข้างอยากมีความสุข
ทำให้เรื่องทุกข์ไม่เกิดขึ้น
ทำให้โลกนี้น่าอยู่ขึ้น…
ทำให้ความสุข เป็นความสุขยิ่งขึ้น…

วันศุกร์ที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2554

กฎหมายลักษณะหนี้

กฎหมายลักษณะหนี้

หนี้ ตามปพพ.มิได้มีความหมายเฉพาะการกู้ยืมเงิน แต่หมายถึง ความผูกพันที่สามารถใช้สิทธิเรียกร้องได้ตามกฎหมาย เช่น หนี้โดยการละเมิด หนี้โดยกฎหมาย เช่น ภาษีอากร เป็นต้น
องค์ประกอบของหนี้ มีลักษณะสำคัญดังนี้
1.การมีนิติสัมพันธ์ (ความผูกพันกันในกฎหมาย) หากกฎหมายไม่รองรับการนั้นก็ไม่เกิด
หนี้ผูกพันด้วย
2.การมีเจ้าหนี้และลูกหนี้(เป็นบุคคลสิทธิ)
3.ต้องมีวัตถุแห่งหนี้ ได้แก่
- หนี้กระทำการ เช่น ลูกจ้างต้องทำงานให้นายจ้าง
- หนี้งดเว้นกระทำการ เช่น ผู้เป็นหุ้นส่วนต้องงดเว้นไม่ทำการค้าแข่งกับห้างหุ้นส่วน
- หนี้ส่งมอบทรัพย์สิน(หรือโอนกรรมสิทธิ์) เช่น ผู้ให้เช่าต้องส่งมอบทรัพย์สินซึ่งให้เช่า
บ่อเกิดแห่งหนี้
1.หนี้ เกิดโดย นิติกรรม-สัญญา ซึ่งเมื่อมีการผูกนิติสัมพันธ์ขึ้น ก็ย่อมเกิดความเป็นเจ้าหนี้-ลูกหนี้ขึ้น โดยปกติ เมื่อเกิดหนี้ ลูกหนี้จะหลุดพ้นจากเคราะห์แห่งหนี้ได้ด้วยการชำระหนี้ ซึ่งจะชำระหนี้อย่างไรนั้น ย่อมเป็นไปตามที่ตกลงในสัญญาที่ทำลง กฎหมายจะไม่ยุ่งเกี่ยว แต่จะคอยควบคุมอยู่กว้าง ๆ มิให้ออกนอกกรอบที่กฎหมายระบุ เพราะนิติกรรมเป็นบรรดากรณีที่กฎหมายไม่อาจกล่าวได้ทั้งหมด เช่นการซื้อขายรถยนต์ การเช่าหมู เป็นต้น การตกลงกันทางธุรกิจ กฎหมายจึงไม่เกี่ยวข้องด้วย แต่กำหนดกรอบมิให้กระทำทุจริตเท่านั้น
บาง ทีมีการกระทำ(ซึ่งมีผลทางกฎหมาย) แต่มิได้มุ่งหมายผูกพันประการใด เช่น เราทำละเมิดตีหัวคนอื่นเขา แต่มิใช่เป็นเรื่องที่จะผูกนิติสัมพันธ์ว่า เมื่อตีหัวเขาแล้วจะใช้ค่าสินไหมทดแทนให้เขา จึงปรับเข้าลักษณะนิติกรรมไม่ได้ [3] กระนั้น ผู้ทำผิดดังกรณีนี้เป็นละเมิด ไม่ต้องชดใช้ค่าเสียหายกระนั้นหรือ? กฎหมายเองได้คุ้มครองกรณีนี้ไว้ เรียกว่า “นิติเหตุ”
2.หนี้ เกิดโดยนิติเหตุ คือ เหตุที่เกิดขึ้นโดยการกระทำซึ่งไม่มุ่งก่อให้เกิดผลตามกฎหมาย แต่กฎหมายจะเอาเรื่องว่า กระทำดั่งนี้ผิด และต้องชดใช้ เช่น ละเมิด ลาภมิควรได้(ได้ทรัพย์สินเกินส่วนที่ควรจะได้) หรือ เป็นนิติเหตุตามที่กฎหมายบัญญัติ เช่น บุตรจำเป็นต้องอุปการะเลี้ยงดูบิดามารดา(กรณีนี้เป็นหนี้เนื่องจากสถานะของ บุคคล)[4] เป็นต้น โดยผู้กระทำผิดตามหนี้ลักษณะนี้ ต้องจ่ายค่าสินไหมทดแทน ซึ่งศาลจะเป็นผู้วินิจฉัยตามควรแก่พฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งเหตุ
กำหนดการชำระหนี้
หาก คู่กรณีมิได้กำหนดเวลาชำระหนี้ไว้แน่นอน กฎหมายให้ถือว่า หนี้นั้นต้องถึงกำหนดชำระโดยพลัน แต่ถ้าตกลงกันไว้แล้ว ก็ให้เป็นไปตามที่ตกลงไว้
การชำระดอกเบี้ย หากตกลงอัตราดอกเบี้ยกันไว้ กฎหมายให้คิดอัตราไม่เกินร้อยละ15ต่อปี
กรณีมิได้ตกลงอัตราดอกเบี้ยกันไว้ ให้คิดอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี
*หาก ฝ่าฝืน คิดดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด คือ เกินร้อยละ15ต่อปี กฎหมายให้ถือว่าดอกเบี้ยนั้น เป็นโมฆะ มิให้คิดดอกเบี้ยเลย แต่เงินต้น(ที่เป็นหนี้)นั้น ลูกหนี้ยังคงต้องชำระอยู่
คำถาม หนี้จะระงับสิ้นด้วยวิธีใดบ้าง ?

ตอบ หนี้จะระงับสิ้น(ไม่ต้องใช้หนี้อีก) มีเพียง 5 กรณีนี้เท่านั้น คือ
1.การชำระหนี้ เข้าหลัก “มีหนี้ต้องชำระ”
2.การปลดหนี้ คือ เจ้าหนี้ยอมปลดหนี้ให้แก่ลูกหนี้โดยเสน่หา ทำโดยขีดฆ่า หรือ คืนเอกสารหลักฐานการเป็นหนี้ให้แก่ลูกหนี้เสีย
3.การหักกลบลบหนี้ คือ บุคคลทั้งสองมีความเป็นเจ้าหนี้และลูกหนี้ซึ่งกันและกัน ก็เอาหนี้ซึ่งกันและกันมาหักกลบกันไป
4.การ แปลงหนี้ใหม่ คือ เปลี่ยนสาระสำคัญของหนี้ เช่น เปลี่ยนตัวเจ้าหนี้ เปลี่ยนตัวลูกหนี้ เปลี่ยนวัตถุแห่งหนี้ ตัวอย่าง นาย ก. เป็นหนี้ นายข.อยู่500บาท พอถึงกำหนดชำระหนี้ นาย ข.ผู้เป็นเจ้าหนี้ ก็ให้นายก.ตัดหญ้าในสนามหลังบ้าน เป็นการชำระหนี้แทนเงิน
5.หนี้เกลื่อน กลืนกัน คือ หนี้ที่ความเป็นเจ้าหนี้และลูกหนี้อยู่ในตัวคนเดียวกัน เช่นนาย ข. เป็นหนี้นาย ก.5พันบาท แต่ภายหลังนาย ก.ตาย และทำพินัยกรรมยกทรัพย์สินให้แก่นาย ข . แต่เพียงผู้เดียว เช่นนี้กฎหมายให้ถือว่าหนี้ระงับสินไป เพราะสิทธิและหน้าที่ของผู้ตาย ตกอยู่ในตัวคนผู้เป็นลูกหนี้แล้ว
***ระวัง กรณีหนี้ขาดอายุความนั้น เป็นเพียง กรณีที่หนี้นั้นไม่อาจฟ้องร้องบังคับคดีต่อกันได้เท่านั้น แต่สภาพความเป็นเจ้าหนี้-ลูกหนี้นั้น ยังคงอยู่ หนี้หาได้ระงับสิ้นไปไม่
คำถาม กฎหมายลักษณะหนี้มีความสำคัญมากน้อยเพียงใดในปัจจุบันนี้ ?

ตอบ ใน ทางการศึกษากฎหมาย เมื่อเรียนรู้กฎหมายลักษณะนิติกรรมและสัญญาแล้ว มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเรียนรู้ผลสืบเนื่องจากนิติกรรมและสัญญาต่อ ผลสืบเนื่องที่ว่านั้นก็คือ เรื่อง “หนี้” เพราะนิติกรรมสัญญาเป็นบ่อเกิดที่สำคัญของหนี้ ท่านอาจารย์เปรียบเทียบว่า “วิชา นิติกรรมและสัญญาเหมือนการสร้างห้องห้องหนึ่ง ซึ่งผู้สร้างจะต้องเข้าใจเรื่องวิธีการสร้าง ขั้นตอนการสร้าง โครงสร้างหรือองค์ประกอบต่าง ๆ จนกระทั่งสร้างห้องเสร็จ วิชากฎหมายลักษณะหนี้จะไม่สนใจรายละเอียดเหล่านั้น แต่จะรับช่วงต่อ คือ มาศึกษาการอยู่ การใช้ การรักษาห้องต่อไป เป็นเรื่องสิทธิและหน้าที่ที่ผู้อยู่ในห้องนั้นจะต้องกระทำ ต้องดูแลเอาใจใส่เมื่อมีการสร้างห้องมาแล้ว วิชาลักษณะแห่งหนี้จึงเป็นวิชาที่ต้องเรียนสืบเนื่องจากนิติกรรมและสัญญา”
นอกจากนี้ พบว่าในหลักเรื่องหนี้นั้น ถ้าสาวความเป็นมาก็มีมาตั้ง 2,000 กว่าปี คือ ตั้งแต่สมัยโรมัน มีการเขียนไว้นานมาก แต่ยังใช้กันอยู่ในปัจจุบัน แม้โดยรายละเอียดจะต่างกัน แต่หลักการสำคัญก็ยังคงเดิม กฎหมายเรื่องหนี้เป็นหลักเกณฑ์ที่ว่าด้วยความถูก ความผิด ความดี ความชั่ว มีเหตุผลในตัวของมันเอง แม้กาลเวลาจะเปลี่ยนไป หลักการนี้ก็ยังคงอยู่
ที่ สำคัญในปัจจุบันนั้น พบว่า สัญญาในเอกเทศสัญญาบรรพ 3 มีชื่อสัญญาประเภทต่าง ๆ ที่มีบทบัญญัติ จำนวน 23 ชื่อเท่านั้น แต่ในทางธุรกิจปัจจุบันมีมากกว่านี้เยอะ ที่มีชื่อต่างจากชื่อสัญญาตามบทบัญญัติทางกฎหมาย (เช่น สัญญาแชร์เปียหวย) ปัญหาจึงมีอยู่ว่าเวลาเกิดเรื่องใครจะรับผิดชอบ จะเอากฎหมายอะไรมาว่า สัญญาบางอย่างก็เขียนไว้ไม่หมด สิ่งที่จะเอามาใช้แก้ปัญหาก็คือ กฎหมายลักษณะหนี้ : หลักทั่วไปนี้แหล่ะ กฎหมายลักษณะหนี้จึงมีความสำคัญมากในปัจจุบัน....ท่านอาจารย์ยังย้ำอีกว่า หนี้หลักทั่วไปนี้ใช้เป็นฐานของมูลหนี้ทุกเรื่องได้ ในปัจจุบันนี้ ป.พ.พ. ตั้งแต่มาตรา 194-353 ซึ่งเป็นเรื่องหนี้จึงใช้มากกว่าอดีตมากทีเดียว

คำถาม หนี้คืออะไร ?

ตอบ คำจำกัดความของคำว่า “หนี้” นั้นมีอยู่ว่า “ความสัมพันธ์ทางกฎหมายระหว่างบุคคลฝ่ายหนึ่ง (ลูกหนี้) ที่จะต้องกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งให้แก่อีกฝ่ายหนึ่ง (เจ้าหนี้)” คำว่า “หนี้” จึงเป็นเรื่องของความสัมพันธ์ในทางกฎหมายระหว่างบุคคลสองฝ่าย กล่าวคือ ความสัมพันธ์อันนั้นมีกฎหมายรองรับอยู่ ซึ่งความสัมพันธ์บางอย่างนั้น ไม่มีกฎหมายรองรับ เช่น การบอกรักกัน ไม่มีกฎหมายรองรับ หรือ คนจะทำดีบุญกุศล ถึงแม้จะเป็นเรื่องความถูกต้องดีงามที่ศาสนาต่าง ๆ ก็ส่งเสริม แต่ก็ไม่มีกฎหมายไหนเขียนไว้ว่า คนในรัฐต้องทำบุญ อย่างนี้เรียกว่า ไม่มีกฎหมายรองรับ แต่ว่าเรื่องหนี้มีกฎหมายรองรับ มีความเกี่ยวข้องกับเรื่อง “สิทธิ” และ “หน้าที่” ดัง ในมาตรา 194 และ 213 บ่งชัดเรื่องหน้าที่ของลูกหนี้ที่จะต้องชำระหนี้ และสิทธิของเจ้าหนี้ที่จะร้องขอต่อศาลให้สั่งบังคับชำระหนี้ กรณีที่ลูกหนี้ไม่ทำตามสัญญา เป็นต้น
คำถาม ในชีวิตประจำวันคุณเป็นเจ้าหนี้หรือลูกหนี้ ?

ตอบ แม้เราจะไม่ต้องการเป็น “เจ้าหนี้” หรือ “ลูกหนี้” แต่ โดยความเป็นจริงตามหลักการทางกฎหมาย เราเป็นทั้งเจ้าหนี้และลูกหนี้ได้ทุกวัน ดังเช่นในสัญญาซื้อขาย เมื่อเราตกลงซื้อสินค้าอย่างใดอย่างหนึ่ง ในฐานะผู้ซื้อเราเป็น “เจ้าหนี้” มีสิทธิที่จะได้รับสินค้า(ทรัพย์) จากผู้ขายซึ่งอยู่ในฐานะ “ลูกหนี้” ที่มีหน้าที่จะต้องส่งมอบสินค้า(ทรัพย์)ให้เรา ในทางกลับกันในฐานะเป็นผู้ซื้อ เราก็ยังเป็น “ลูกหนี้” มีหน้าที่จะต้องชำระราคาแก่ผู้ขาย ซึ่งเป็น “เจ้าหนี้” มีสิทธิที่จะได้รับเงิน(การชำระราคา) จะเห็นได้ว่า ในชีวิตประจำวันนั้นเราเป็นได้และได้เป็นทั้งเจ้าหนี้และลูกหนี้ อย่างนี้นี่เอง
ดูตัวบทกฎหมายประกอบ ม.461 (เรื่องการส่งมอบทรัพย์สิน) ม.453 (เรื่องการโอนกรรมสิทธิ์) และ ม.486-487 (เรื่องการชำระราคา)
คำถาม องค์ประกอบสำคัญแห่งหนี้คืออะไร ?

ตอบ องค์ประกอบสำคัญแห่งหนี้นั้นมี 3 ประการ ได้แก่
1) ลูกหนี้
2) วัตถุแห่งหนี้
3) เจ้าหนี้
ในบรรดา 3 ประการนี้ ข้อ 1 และ 2 สำคัญที่สุด เพราะเป็นสิ่งที่จะต้องรู้และต้องมีแน่เวลามีมูลหนี้เกิดขึ้น จะบอกลอย ๆ ว่า “จะมีการชำระเงินเกิดขึ้น “ โดยไม่มีลูกหนี้และวัตถุแห่งหนี้ไม่ได้เลย ใครเป็นลูกหนี้ หรือใครมีหน้าที่จะต้องทำและทำอะไร เพราะฉะนั้น ลูกหนี้จะต้องมีเสมอเมื่อหนี้เกิด และวัตถุแห่งหนี้ก็ต้องมีด้วย “วัตถุแห่งหนี้” คือ ความผูกพันที่จะต้องทำการชำระสิ่งใดสิ่งหนึ่งหรือคำตอบที่ว่าลูกหนี้จะต้องทำอะไรนั่นเอง
ทั้ง นี้ เจ้าหนี้นั้น โดยปกติก็ต้องมีด้วย แต่บางกรณีเจ้าหนี้ไม่มีก็ได้ อาจเกิดคำถามว่า ลูกหนี้จะไปชำระให้ใครในเมื่อไม่มีเจ้าหนี้ ความหมายก็คือ มีบางกรณีที่ในขณะที่หนี้เกิดขึ้นนั้น อาจจะยังไม่ยังไม่แน่นอนว่าคือใคร เช่นกรณีเรื่องตั๋วเงิน ซึ่งจะต้องชำระหนี้ตามคำสั่ง คือ ต้องรอคำสั่งว่าผู้ที่ถือตั๋วเงินอยู่จะต้องไปชำระเงินกับใคร (ชำระหนี้ตามเขาสั่ง) เพราะฉะนั้นในขณะนี้เจ้าหนี้ยังไม่มีและลูกหนี้ก็ไม่รู้ว่าจะชำระหนี้กับใคร
คำถาม วัตถุแห่งหนี้คืออะไร ?

ตอบ หลายคนมักเข้าใจว่า”วัตถุ” หมายถึง สิ่งมีรูปร่าง ตามความหมายในพจนานุกรม แต่ในทางกฎหมายหาเป็นเช่นนั้นไม่ วัตถุแห่งหนี้ (subject of obligation) หมายถึง ตัวเนื้อหาของการชำระหนี้ กล่าวคือ ลูกหนี้มีหน้าที่ชำระหนี้ จะต้องทำอะไร ซึ่งมี 3 ประการ ได้แก่
1) กระทำการ เช่น การทำตามสัญญาจ้างแรงงาน เช่น โรงงานประกอบเครื่องยนต์ มีสัญญาจ้างงานลูกจ้างมาทำหน้าที่ประกอบเครื่องยนต์ ลูกจ้างต้องกระทำการตามสัญญาซึ่งอาจจะด้วยแรงกายหรือสติปัญญาก็ตาม ในฝ่ายโรงงานก็มีหน้าที่ที่จะต้องทำตามสัญญา เช่น การชำระค่าจ้างเป็นต้น
2) งดเว้นกระทำการ ในมาตรา 194 วางหลักไว้เกี่ยวกับการงดเว้นกระทำการว่า ลูกหนี้สามารถชำระหนี้ได้ด้วยการงดเว้นกระทำการอันใดอันหนึ่งก็ได้ เช่น ข้อตกลงห้ามแข่งขันทางการค้าหรือกรณีห้ามนักร้องที่สังกัดค่ายเพลงคู่สัญญา ไปร้องเพลงกับค่ายอื่น เป็นต้น อย่างนี้เรียกว่า “งดเว้นกระทำการ” คือ อยู่เฉย ๆ ไม่ทำอะไรก็เป็นการชำระหนี้ได้
3) ส่งมอบทรัพย์สิน เช่น กรณีที่ผู้ขายส่งมอบทรัพย์สินตามสัญญา
ข้อสังเกต

เวลา เราพูดถึงเรื่องหนี้กระทำการ ย่อมเป็นเรื่องทางกาย สติปัญญาความสามารถ ส่วนประเด็นนี้เป็นเรื่องของการเคลื่อนที่ของตัวทรัพย์ การส่งทรัพย์ ต่างจากการกระทำทางกายภาพและอาจจะต่างกันที่อาจจะมีการบังคับการไม่เหมือน กัน เห็นได้ชัดในมาตรา 213 เนื่องจากเรื่องการส่งมอบทรัพย์ ศาลสั่งบังคับให้ลูกหนี้ชะรำหนี้ให้เจ้าหนี้ได้เสมอ แต่กรณีที่ลูกจ้างเบี้ยวงาน จะร้องขอต่อศาลให้สั่งบังคับให้ลูกหนี้ทำงานไม่ได้และไม่มี อย่างดีก็แค่ไล่ออก เพราะการกระทำนั้นอยู่ในสภาพแห่งหนี้ที่ไม่เปิดช่อง แต่ถ้าจะแปลงเป็นค่าเสียหายก็ได้ (ม. 213)

วันจันทร์ที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2554

อะไรบ้างที่เป็นข้อดีทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของไทย


1. การทำฝนเทียม
ฝนเทียมหรือที่มีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่าฝนหลวง อันเป็นโครงการในพระราชดำริของ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ของเรา ฝนหลวงเป็นการจัดการแปรสภาพอากาศให้
เกิดฝนตกในบริเวณที่ต้องการ โดยมีช่วงเวลาที่ตกตลอดพื้นที่สอดคล้องกับเป้าหมายที่วางไว้
นับเป็นการจัดการสภาพอากาศเพื่อแก้ปัญหา หรือบรรเทาปัญหา ปริมาณน้ำ เป็นข้อดีของการปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์ในวันที่จะบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน
ให้มีน้ำใช้เพื่อการเกษตรในภาวะที่เกิดภัยแล้ง
การทำฝนเทียม (Artificial rain enhancement) เป็นการผสมผสานความรู้เทคโนโลยีสาขาต่าง ๆ
เช่น อุตนิยมวิทยาเคมี ฟิสิกส์ วิศวกรรม และอิเล็กทรอนิกส์ มาดัดแปลงสภาพอากาศเพื่อทำ
ให้เกิดฝนตกในพื้นที่เป้าหมายหรือไปเพิ่มปริมาณน้ำฝน
ให้สูงกว่าที่เกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติ ฝนเทียมนี้เป็นหนึ่งในงานดัดแปลงสภาพอากาศที่มีอยู่หลายอย่าง
เช่น การลดความรุนแรงของพายุ การทำลายหมอก การหยุดฟ้าแลบ การยับยั้งการเจริญเติบโตของก้อนเมฆ เป็นต้น สำหรับการทำฝนเทียมนั้นมีวิธีที่นิยมกันอยู่ 3 วิธีด้วยกัน คือ การฝนหรือโปรยสารเคมีจากเครื่องบินเข้าสู่เมฆ การใช้เครื่องพ่นผงเคมีหรือควันเคมีจากพื้นดินเข้าสู่เมฆ และการใช้จรวดหรือบอลลูนบรรจุสารเคมี
ให้ไประเบิดในก้อนเมฆประเทศไทยเป็นประเทศที่อยู่ในเขตร้อย เมฆของเราเป็นเมฆอุ่น เราจึงปฏิบัติการดัดแปลงสภาพอากาศจากเมฆอุ่นโดยที่สภาวะที่เหมาะสมในการทำฝนที่สำคัญอยู่ที่ปริมาณความชื่น
ในอากาศมีมาก ปริมาณและคุณสมบัติการกลั่นตัวมีพอเหมาะ และบรรยากาศไม่มีเสถียรภาพ
โดยเฉพาะการลอยตัวขึ้นสู่บรรยากาศชั้นบน การเกิดฝนในแต่ละวันนั้นมีปัจจัยหลายประการ เราต้องมีวิธีดำเนินการเพื่อให้ปัจจัยที่เหมาะสมต่อการเกิดฝนนั้น คงอยู่ในบริเวณเป้าหมายให้นานที่สุด จะทำเช่นนี้ได้ก็ต้องอาศัยข้อมูลจากการตรวจวัดสภาพอากาศในแต่ละวัน ถ้ามีความเหมาะสมก็จะฝนเทียม

2. กังหันชัยพัฒนา
กังหันชัยพัฒนาหรือกังหันเติมอากาศ เป็นวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของประเทศไทย ได้ประดิษฐ์ขึ้นจากพระปรีชาสามารถของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวองค์ปัจจุบัน
ที่ทรงห่วงใยต่อพสกนิกรของของพระองค์ ไม่ว่าจะเป็นชีวิตความเป็นอยู่และสุขภาพอนามัย ทรงมีพระราชปณิธานอันแน่วแน่ในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นต่าง ๆ ที่มีผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของพสกนิกร จนเป็นที่เลื่องลือไปถึงต่างประเทศถึงพระราชกรณียกิจของพระองค์
ปัญหามลพิษทางน้ำ นับวันจะยิ่งทวีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น และเป็นอีกปัญหาหนึ่งที่ทรงสนพระทัย ซึ่งได้พระราชทานแซวพระราชดำริให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องและองค์กรเอกชนได้ร่วมมือกันอย่างจริงจัง
ในการแก้ไขปัญหานี้ นอกจากนี้ยังทรงคิดค้นประดิษฐ์เครื่องกลเติมอากาศให้กับน้ำ เพื่อช่วยในการบำบัดน้ำเสียและได้พระราชทานให้กรมชลประทานและมูลนิธิชัยพัฒนาดำเนินการผลิตสิ่งประดิษฐ์นี้ สามารถนำไปใช้ประโยชน์ในการปรับปรุงคุณภาพของแหล่งน้ำ กล่าวคือใช้เพิ่มปริมาณออกซิเจนลงในน้ำนั้น
ซึ่งสามารถนำไปใช้ประโยชน์ต่าง ๆ ได้อย่างมากมาย เช่น การนำไปใช้บำบัดน้ำเสียที่เกิดจากการอุปโภคของประชาชน เน่าเสียที่เกิดจากโรงงานอุตสาหกรรมต่าง ๆ เป็นต้น นอกจากนี้ยังสามารถที่จะนำไปใช้ในการเพิ่ม
ปริมาณออกซิเจนในบ่อเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำต่าง ๆ ทางด้านเกษตรกรรม ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อเกษตรกรของประเทศไทย การประดิษฐ์กังหันชัยพัฒนานี้ต้องใช้ความรู้ความสามารถในด้านต่าง ๆ หลายด้าน เช่น ด้านวิศวกรรมสิ่งแวดล้อม
วิศวกรรมเครื่องกล และวิศวกรรมไฟฟ้า รวมทั้งยังต้องใช้ความสามารถในการออกแบบและ
คำนวณการประดิษฐ์เครื่องกลและกระบวนการทางชีววิทยา จนสามารถทำให้โครงการลุล่วงไปด้วยดี

3. จีเอ็มโอ (GMO)
จีเอ็ทโอ เป็นชื่อเรียกคำย่อของ Genitically Modified Organism) หรือ GMO หมายถึง สิ่งมีชีวิตที่ได้มี
การเปลี่ยนแปลงลักษณะทางพันธุกรรม โดยอาศัยเทคนิคทางพันธุวิศวกรรม (Genetic Engineering)
หรือเทคนิคที่เกี่ยวข้องกับการตัดต่อยีนส์
ประเทศไทยเป็นประเทศที่อาศัยการเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรเป็นพื้นฐานสำคัฅญของการพัฒนาเศรษฐกิจ
และสังคมของประเทศ นอกจากนี้ประเทศไทยได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกขององค์กรนานาชาติที่มีการเปิดตลาดซื้อขาย
แลกเปลี่ยนสินค้าด้านการเกษตรและอุตสาหกรรมการเกษตร ประเทศไทยซึ่งเกี่ยวข้องกับ
จีเอ็มโออย่างที่จะหลีกเลี่ยงได้ยาก จึงควรที่จะได้มีการศึกษาและทำความเข้าใจในเรื่องนี้ให้ชัดเจน ซึ่งจะเห็นได้ว่าด้านการผลิตเทคโนโลยีมีศักยภาพในการพัฒนาพันธุ์พืช พันธุ์สัตว์ให้มีคุณภาพและผลผลิตสูง
มีต้นทุนการผลิตต่ำ เพื่อสามารถแข่งขันในตลาดโลกได้ ขณะเดียวกันในด้านการนำเข้าสินค้าและผลิตภัณฑ์ ความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับจีเอ็มโอจะช่วยให้ประเทศสามารถกำหนดแนวทางปฏิบัติการ
คัดเลือกผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสม มีคุณภาพและปลอดภัยต่อผู้บริโภค

4. หนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์
นโยบายพัฒนาของประเทศไทย หันมาเน้นการพัฒนาเศรษฐกิจทั้งในระดับมหภาคและระดับรากหญ้าควบคู่กันไป เพื่อสร้างสมดุลย์และความมั่นคงทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน รัฐบาลจึงได้จัดให้มีโครงการหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ เพื่อให้แต่ละชุมชนนำภูมิปัญญาท้องถิ่นมาใช้ในการพัฒนา สินค้า โดยรัฐจะให้ความช่วยเหลือในด้านความรู้สมัยใหม่ และการบริหารจัดการเพื่อเชื่อมโยงสินค้าจากชุมชนสู่ตลาด ทั้งในและต่างประเทศด้วยระบบร้านค้าเครือข่าย
และอินเตอร์เน็ต
กว่าร้อยละ 50 ของสินค้า OTOP เป็นผลิตภัณฑ์อาหาร เทคโนโลยีชีวภาพจึงเป็นเทคโนโลยีที่มีบทบาทสำคัญมาก
ในการพัฒนาสินค้า OTOP ทั้งนี้เทคโนโลยีที่ผลิตภัณฑ์ชุมชนต้องการเป็นเทคโนโลยีที่ชุมชนสามรถใช้ได้เอง
เช่น การหมัก การบรรจุหีบห่อ การย้อมด้วยสีธรรมชาติ เป็นต้น และสิ่งที่สำคัญอีกประการ
คือ การควบคุมกระบวนการผลิตให้มีความสะอาด ปลอดภัย และได้มาตรฐาน แม้การพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อผลิตภัณฑ์ชุมชนสามารถกระทำได้โดยไม่ยากนัก หากแต่ สิ่งที่สำคัญกว่าคือกระบวนการนำเทคโนโลยีไปสู่ชุมชนให้เป็นที่ยอมรับจะต้องกระทำโดยความประณีต และระมัดระวัง เนื่องจากบางผลิตภัณฑ์มีความเกี่ยวข้องกับภูมิปัญญาท้องถิ่น ซึ่งถือเป็นวิถีชีวิตของ
ชุมชนและเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนมาก

5. ระบบสารสนเทศและการสื่อสาร
เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT) นับเป็นสาขาดเทคโนโลยีหลักที่จำเป็นในการพัฒนาและ
เพิ่มคุณภาพของชีวิต โดยจะต้องรีบเร่งกระจายโครงสร้างพื้นฐานและเครือข่ายโทรคมนาคม
และพัฒนาการศึกษาแบบ e – learning , e Education เพื่อขยายโอกาสในการศึกษาของเด็กและเยาวชนทั่วประเทศ เครือข่ายโทรคมนาคมที่ขยายกว้างไกลนี้จะเป็นการขยายโอกาสในการเข้าถึงบริการแบบ
on – line เช่น e – Government , e – Health ด้วย และในขณะเดียวกัน จะต้องมีการพัฒนาเทคโนโลยีด้านพลังงาน
เช่น Solar cell , fuel cell เพื่อให้ชุมชนทั้งประเทศไทยได้มีพลังงานที่สะอาดใช้โดยทั่วถึงกันและสามารถ
ใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าต่าง ๆ เพื่ออำนวยความสะดวกในการดำรงชีวิต และการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารผ่านสื่อต่าง ๆ
เช่น โทรทัศน์ อินเตอร์เน็ต เป็นต้น ในด้านการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมจะต้องให้ความสำคัญต่อการ
พัฒนาวัสดุนำกลับมาใช้ใหม่ (Recyclable material) เพื่อบรรเทาปัญหาการจัดการขยะและส่งเสริมการใช้
เทคโนโลยีสะอาดในกระบวนการผลิต