รูป

Welcome To My Blogger

วันอาทิตย์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

เทคนิคการเล่นกอล์ฟ

เทคนิค “การเล่นเกมส์สั้น”
มี อยู่สองวิธีด้วยกันที่จะทำให้ลูกกอล์ฟตกและหยุดอย่างรวดเร็ว วิธีที่หนึ่งคือ ใส่แบ็คสปินมากๆ หรือ วิธีที่สองคือการบังคับวิถีโคจรของลูกให้สูงโด่งแต่นุ่มนวลซึ่งเมื่อตกถึง พื้นแล้วก็จะหยุดเกือบทันที และเนื่องจากนักกอล์ฟส่วนใหญ่จะมีปัญหาการใส่แบ็คสปิน ฉะนั้นการบังคับวิถีโคจรของลูกจึงเป็นวิธีที่ง่ายกว่า
ช็อต ที่ต้องใช้การบังคับลูกที่แม่นยำได้แก่ ช็อตจากรัฟข้างกรีนซึ่งหน้าไม้กอล์ฟมักจะตัดผ่านหญ้าก่อนที่จะกระทบกับลูก กอล์ฟทำให้สปินได้น้อยลง นักกอล์ฟฝีมือดีก็จะสามารถปรับมุมของหน้าไม้กอล์ฟให้ลึกลงในเวลาที่กระทบกับ ลูกเพื่อลดการเสียดสีจากหญ้าและเป็นการเพิ่มสปินให้กับลูกอีกด้วย แต่นักกอล์ฟส่วนใหญ่ที่พยายามจะใช้วิธีนี้ก็มักจะลงเอยด้วยการตีท็อปลูกเฉย เลย
ฉะนั้น ...หากครั้งต่อไปท่านนักกอล์ฟต้องพิทช์ไปยังพินในระยะกระชั้น ซึ่งท่านจำเป็นต้องให้ลูกกอล์ฟตกและหยุดทันทีเหมือนเวลาตกในหลุมทราย ท่านจะต้องตีลูกให้โด่งเพื่อที่จะบังคับให้ลูกตกอย่างนุ่มนวลตามขั้นตอนต่อ ไปนี้...

ตั้งองศาหน้าไม้ให้เหมาะสม
ท่าน นักกอล์ฟทราบหรือไม่ว่าเมื่อตีออกจากรัฟมีหญ้ามากน้อยแค่ไหนที่อยู่ระหว่าง หน้าไม้กอล์ฟกับลูก ท่านจะต้องแครี่ลูกไปไกลแค่ไหน หญ้านั้นแข็งหรือนิ่ม องค์ประกอบเหล่านี้จะเป็นกำหนดองศาหน้าไม้ที่ท่านต้องการ ให้ลองนึกภาพจุดตกที่ท่านต้องการรวมทั้งความสูงของช็อตด้วย เสร็จเรียบร้อยก็ให้ตั้งองศาหน้าไม้ในจังหวะแอ็ดเดรสอย่างเหมาะสมเพื่อให้ วิถีโคจรของลูกที่ต้องการ
ตัวอย่าง เช่น ถ้ามีหลุมทรายอยู่หน้าพิน ให้หยิบเว็ดจ์ที่มีองศาหน้าไม้มากที่สุดและเปิดหน้าไม้กว้างจนหน้าไม้กอล์ฟ หงายขึ้นฟ้า การปรับองศาหน้าไม้นี้จะช่วยให้เว็ดจ์ขนาด 56-60 องศามีประสิทธิภาพเท่ากับหรือมากกว่าขนาด 80 องศาเลยทีเดียว

ตีให้ตรง
นัก กอล์ฟสมัครเล่นส่วนใหญ่มักจะใช้ไม้กอล์ฟที่มีองศาหน้าไม้น้อยกว่าที่ควรแต่ จะใช้วิธีเน้นที่จังหวะลงดาวน์สวิงแทน ซึ่งการกระทำดังกล่าวจะทำให้หัวไม้กอล์ฟเคลื่อนผ่านมือทั้งสองข้างก่อนที่จะ ถึงจังหวะที่ตีออกไป ทำให้ตีแป้ก
วิธีตีที่ถูกต้องก็คือ หลังจากจัดองศาหน้าไม้ให้เหมาะสมตามที่แนะนำข้างต้นแล้ว จากนั้นก็ตีออกไปด้วยองศาหน้าไม้แบบนั้นเลย ให้นึกภาพเส้นตรงสมมุติในจังหวะที่หน้าไม้กอล์ฟกระทบกับลูกซึ่งลากจากหัว ไหล่ซ้ายลงมายังแขนและข้อมือซ้ายหน้าไม้กอล์ฟและลูกกอล์ฟ
พยายามรักษาข้อมือซ้ายให้เฟิร์มองศาหน้าไม้ที่ตั้งไว้อย่างดีในตอนแรกนั้น เพียงพอแล้วที่จะทำให้ลูกลอยโด่ง ยืนเปิดเล็กน้อย ลูกกอล์ฟอยู่ตรงกลางแต่ค่อนมาทางเท้าซ้ายเล็กน้อย ปล่อยน้ำหนักตัวให้อยู่ทางด้านซ้ายมากกว่าด้านขวา ท่านควรจะสวิงออกไปเต็มวง ยิ่งรัฟหนา ท่านยิ่งต้องสวิงให้แรงเพื่อตีลูกให้พ้นออกมา

เทคนิคการพัต/การอ่านไลน์ ( รู้ทันกรีน มีชัยไปกว่าครึ่ง )
การพัตนั้นเป็นส่วนสำคัญของการเล่นกอล์ฟ ในการแข่งขันในระดับนักกอล์ฟอาชีพนั้น การพัตเป็นช็อตที่บ่งชี้ว่าใครที่จะเป็นผู้ชนะ สโตรคเฉลี่ยของนักกอล์ฟอาชีพนั้นอยู่ที่ 1 พัตกว่าๆเท่านั้นเอง แต่สำหรับนักกอล์ฟสมัครเล่นทั่วๆไปนั้นต่อการเล่นกอล์ฟ 18 หลุมนั้นไม่มีสามพัตก็มีความสุขแล้ว

ทำอย่างไร ที่ไม่ให้เกิดสามพัตในการเล่นกอล์ฟของเราก็ต้องฝึกฝนและมีความรู้ในการอ่านกรีน
ประกอบด้วยดังนี้
การพัต มีองค์ประกอบสำคัญ 2 ส่วน คือ

1.การสโตรคลูก พื้นฐานการสโตรคลูกที่ดีนั้นลูกจะต้องกลิ้งออกจากหน้าไม้อย่างราบเรียบนุ่ม นวล ไม่มีการกระโดด และตรงไปตามแนวเป้าหมายโดยที่ไม่หมุนออกจากแนวเป้าหมายครับ ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการสโตรคลูกมีอีกสองประการ คือ

1.1 ทิศทาง หมายถึง การเล็งเป้าหมายครับ การเล็งเป้าหมายควรจะเป็นลักษณะ สแควร์ หมายถึงการจัดหน้าไม้และร่างกายให้ขนานกับแนวเป้าหมาย เมื่อสโตรคลูกออกไปแล้ว ลูกจะต้องวิ่งออกไปทางเป้าหมายเสมอ

1.2 ระยะทาง หมายถึง การให้น้ำหนักของลูกที่กลิ้งออกจากหน้าไม้ไปยังเป้าหมาย ความหมายของการให้น้ำหนักจะมาจากการที่สายตามีความสัมพันธ์กับมือ

2. พัตไลน์ คือ เรื่องของการอ่านทางวิ่งของลูกบนกรีน ถ้าอ่านทางวิ่งได้ดีลูกก็จะวิ่งเข้าเป้าหมายได้มากที่สุดในทางตรงกันข้ามถ้า อ่านผิด ลูกก็จะวิ่งหนีเป้าหมายออกไป ปัจจัยของทางวิ่งของลูกบนกรีนนั้นจะประกอบไปด้วยสองปัจจัยก็คือ

2.1 การอ่านสโลป การอ่านสโลปหมายถึงการอ่านความเอียงของพื้นผิวกรีน ซึ่งจะมีความเอียงหลักๆอยู่สี่ทาง

2.1.1 ทางขึ้นเนิน หมาย ถึงลูกจะกลิ้งได้ระยะทางน้อยกว่าพื้นเรียบ เมื่อน้ำหนักเท่ากัน

2.1.2 ทางลงเนิน หมายถึงลูกจะกลิ้งได้ระยะทางมากกว่าพื้นเรียบ เมื่อน้ำหนักเท่ากัน

2.1.3 สโลปเอียงขวา หมายถึงลูกจะกลิ้งไปซ้าย มากเท่าไรขึ้นอยู่กับความชันของสโลป

2.1.4 สโลปเอียงซ้าย หมายถึงลูกจะกลิ้งไปทางขวา มากเท่าไหร่ขึ้นอยู่กับความชันของสโลป

2.2 การอ่านทิศทางของแนวใบหญ้าบนผิวกรีน ก็มีอยู่ด้วยกันห้าทิศทาง

2.2.1 แนวย้อนหญ้า หมายถึง แนวยอดหญ้าแทงเข้าหาตัวเรา เมื่อเรายืนหลังลูกและหันหน้าไปยังหลุมจะมีผลให้ลูกกลิ้งช้าลงแต่มีผลน้อยกว่าสโลปขึ้นเนิน

2.2.2 ตามแนวหญ้า หมายถึง แนวยอดหญ้าแทงเข้าหาหลุมเมื่อเรายืนหลังลูกและหันหน้าไปยังหลุม จะมีผลทำให้ลูกกลิ้งเร็วขึ้น แต่มีผลน้อยกว่าสโลปลงเนิน

2.2.3 ยอดหญ้าแทงไปทางขวาของหลุม เมื่อเรายืนหลังลูกและหันหน้าไปยังหลุม จะมีผลทำให้ลูกกลิ้งไปทางขวาเล็กน้อย แต่มีผลน้อยกว่าสโลปเอียงซ้าย

2.2.4 ยอดหญ้าแทงไปทางซ้ายของหลุม เมื่อเรายืนหลังลูกและหันหน้าไปยังหลุมจะผลทำให้ลูกกลิ้งไปทางซ้ายเล็กน้อย แต่มีผลน้อยกว่าสโลปเอียงขวา

2.2.5 แนวยอดหญ้าไม่เป็นระเบียบ จะมีผลต่อการกลิ้งของลูกไม่มากให้เล็งลูกไปตามแนวเป้าหมายเหมือนเดิม
ใน กรณีที่เล่นในสนามที่เป็นภูเขาการอ่านสโลปบนกรีนนั้นจะต้องดูสภาพแวดล้อมของ ภูมิประเทศเป็นหลักด้วยครับอย่างเช่นในกรณีที่ด้านใดด้านหนึ่งของกรีนเป็น ภูเขาด้านนั้นจะเป็นสโลปขึ้นเนินถึงแม้ว่าเราจะไปยืนบนกรีนแล้วจะมองจากลูก ไปยังหลุมเป็นทางลงก็ตาม

เมื่อเราเรียนรู้เรื่องของการพัตแล้วที่เหลือจะเป็นประสบการณ์ในการที่เราจะนำความรู้ทั้งหมดมา

ประยุกต์ ให้เข้ากันเพื่อให้ลูกวิ่งเข้าเป้าหมายมากที่สุดวิธีการที่ดีที่สุดก็คือการ ทำซ้ำๆนั้นเองเวลาที่ไปเล่นกอล์ฟก็ลองสังเกตกรีนและลองเดาทางวิ่งของลูกดู และสอบถามกับแค้ดดี้ของท่านดูว่าตรงกันหรือไม่แล้วลองชั่งใจดูว่าจะเชื่อแค้ ดดี้หรือตัวเอง

ถ้าได้ทำอย่างนี้ซ้ำๆ รับรองว่าท่านจะพัตได้ใกล้เคียงขึ้นแน่นอน และจะลดอาการสามพัตลงอย่างเห็นได้ชัดเลย ทำให้เล่นอย่างมีความสุข วันนี้ขอให้ท่านได้เบอร์ดี้มากๆครับ

โปร กานต์ เกษมจิรโชค ผู้เผยแพร่
ขอขอบคุณ หนังสือสมาร์ทกอล์ฟ

วันอังคารที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

9 วิธี ทำให้รู้สึกดีในวันที่แย่ ๆ

ทุกคนล้วนมีวันที่แย่ ๆ กันทั้งนั้น เช่นไม่ว่าวันนั้นจะทำอะไร ทุกอย่างก็ดูเลวร้ายไปซะหมด เหมือนอะไรก็ไม่เข้าข้าง แต่ในความโชคร้ายก็มีเรื่องดี เมื่อเรามีวิธีที่จะทำให้คุณรู้สึกดีขึ้นมานำเสนอ หลาย ๆ ข้ออาจทำให้คุณประหลาดใจ แต่หากวันใดคุณต้องมีวันเหล่านั้น อย่าลืมนำวิธีเหล่านี้ออกมาใช้ อาจจะช่วยลดรอยเหี่ยวย่นที่เกิดพร้อมความกังวล แถมมาก่อนวัยได้เป็นอย่างดี

1. อ่านหนังสือดี ๆ

การอ่านหนังสือสำหรับบางคน อาจทำให้รู้สึกดีขึ้นได้ โดยฉพาะหากเป็นหนังสือเล่มโปรด หนังสือของผู้แต่งที่ชื่นชอบ เพราะการอ่านหนังสือนั้นจะช่วยเปิดมุมมอง ดึงคุณไปสู่เรื่องน่ารู้ ทำให้คุณเพลิดเพลินไปกับสิ่งต่า งๆ มากมาย ลองหยิบหนังสือสักเล่มในวันที่เงียบเหงา แล้ววันนั้นตัวหนังสือจะโลดแล่นไปในใจคุณให้กระชุ่มกระชวยขึ้นมาก็เป็นได้

2. ทำดีต่อผู้อื่น

คุณเคยสังเกตไหมว่าเมื่อคุณทำดีต่อผู้อื่น อารมณ์ของคุณก็จะดีตามไปด้วย การทำดีกับผู้อื่นมักจะทำให้วันที่แย่ๆ ของเราดีขึ้นเสมอ เพราะเราจะรู้สึกสบายใจเมื่อเราได้ช่วยเหลือคนอื่น บางครั้งชีวิตเราก็มีคุณค่าสำหรับคนอื่นเหมือนกันนะ อย่าคิดว่าตัวเองต่ำต้อยด้อยค่าอะไรอีกเลย หันไปทำสิ่งดี ๆ กับคนรอบข้างดีกว่านะ

3. ทำจิตใจให้บริสุทธิ์

บางครั้งความยุ่งยากวุ่นวายต่าง ๆ คงทำให้คุณรู้สึกแย่ ในที่นี้หมายถึงความวุ่นวายทางใจ หากจิตใจคุณเต็มไปด้วยเรื่องราวอันน่าสับสน ปั่นป่วน ลองนั่งสมาธิหรืออย่างน้อยที่สุดใช้เวลาอยู่กับตัวเองสักพักดูสิ สิ่งนี้จะสามารถทำใจให้โล่งสบายได้ เพราะคุณได้มีเวลาอยู่กับตัวเอง ทบทวนเรื่องราวที่เกิดขึ้น และพร้อมจะตั้งมั่นในการแก้ไขเรื่องอะไรก็ตามให้ดีขึ้นไงล่ะ

4. กระฉับกระเฉงอยู่เสมอ

การกระตือรือร้น แอคทีฟ หรือการออกกำลังกายซะบ้างก็สามารถช่วยได้ คุณอาจไม่จำเป็นต้องถึงขนาดวิ่งเข้าโรงยิม เพียงแค่คุณมีกิจกรรมใด ๆ ก็ตามทำทุกวัน นอกจากจะช่วยด้านจิตใจแล้ว ก็ยังช่วยด้านร่างกายในการหลั่งสารเอ็นโดรฟินซึ่งจะช่วยให้ร่างกายทำงานอย่างมีสมดุล
feeling good

5. หากิจกรรมทำ

บ่อยครั้งที่คุณสามารถพัฒนาอารมณ์ของคุณให้คงที่ได้โดยการทำงาน รวมถึงหากิจกรรมอื่น ๆ ทำด้วย ไม่ว่าจะเป็นการทำอาหารด้วยเมนูใหม่ ๆ จัดชั้นหนังสือใหม่ ตกแต่งห้อง ลองหาต้นไม้มาปลูกเพิ่ม ทำความสะอาดครัว ฯลฯ ในยามที่คุณกำลังมุ่งมั่นทำสิ่งใดนั้น ก็จะช่วยให้คลายความรู้สึกที่ไม่ดีที่ติดในใจได้ แถมเราจะได้สิ่งใหม่ ๆ มาประดับชีวิตเราอีกด้วย ลองดูสิ

6. แสดงมันออกมา

จากการศึกษาพบว่าคุณควรจะแสดงในสิ่งที่คุณต้องการแสดงออกมา ถ้าคุณอยากเศร้า คุณก็จงแสดงออกมา อยากร้องไห้ ก็ร้องมาเลย ถ้าคุณอยากจะมีความสุข คุณก็สามารถกระตุ้นตัวเองให้มีความสุขได้โดยการยิ้ม หัวเราะ ดังนั้นคุณต้องการให้ตนเองมีความสุขก็พยายามยิ้ม หัวเราะออกมา

7. กำลังใจจากผู้อื่น

บางทีคุณก็ต้องการให้ใครสักคนนึงอยู่ข้างๆ คุณ มาทำให้คุณรู้สึกดีขึ้น นั่นก็คือคุณต้องบอกคนที่คุณรักว่าคุณต้องการกำลังใจจากพวกเขา พวกเขาไม่สามารถรู้ได้โดยอัตโนมัติเพียงแค่บอกพวกเขาอย่างตรงไปตรงมาก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่น่าลอง

8. พักผ่อน

ความจริงก็คือ การพักผ่อนเป็นหนทางที่แทบจะดีที่สุด ที่จะทำให้คุณพักจากวันแย่ๆ ของคุณ เมื่อใดที่คุณรู้สึกแย่และเศร้า ให้คุณพักผ่อนสักขณะเพื่อให้ผ่านเรื่องราวเหล่านั้นและเมื่อตื่นขึ้นมาคุณก็จะรู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้น

9. การพูดคุย

ข้อสุดท้ายนี้ ก็คือ ใช้เวลาอยู่กับคนที่คุณรักก็ทำให้คุณรู้สึกดีขึ้น คุณอาจจะพูดคุยกับเพื่อนสนิทของคุณ เพียงแค่พูดคุยกับคนอื่น ๆ ก็จะทำให้อารมณ์คุณดีขึ้น

มีหลายวิธีที่แตกต่างกันไปที่จะทำให้วันแย่ ๆ ของคุณกลายเป็นวันที่ดีได้ จริง ๆ แล้วมันขึ้นอยู่กับคุณว่าคุณจะเลือกให้ตนเองเป็นอย่างไร แต่ในวิธีการเหล่านี้ก็อาจจะมีข้อหนึ่งที่คุณรู้สึกว่ามันช่วยคุณได้จริง ๆ และคุณก็ควรจะทำเมื่อคุณรู้สึกแย่ เท่านี้วันแย่ ๆ ก็กลับกลายเป็นดีได้...อยู่ที่ตัวคุณ

วันอาทิตย์ที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2554

ย่อหลักกฎหมายหนี้

ย่อหลักกฎหมายหนี้

ข้อที่ 2 จะเป็นกฎหมายหนี้ นิติกรรมสัญญา หนี้??ม.194 ? ม.353 , นิติกรรม ??ม.149 ? ม.181 , สัญญา??ม.354 ? ม.394
ซึ่งในกฎหมายหนี้ จะมีขอบเขตและเนื้อหา ที่เราสามารถแยกพิจารณาได้ดังนี้
2.1 ชุดวัตถุแห่งหนี้??ม.ที่สำคัญ คือ ม.194 + ม.195 + ม.196 + ม.198 + ม.202
2.2 ชุดผิดนัด??เราสามารถแยกออกเป็นชุดย่อยๆได้ดังนี้
2.2.1 ชุดลูกหนี้ผิดนัด??ม.ที่สำคัญๆ คือ ม.203 + ม.204 + ม.206?.โดยมี ม.205 เป็นข้อยกเว้น ??เป็นส่วนคัญอันหนึ่งของกฎหมายหนี้??จึงควรทำความเข้าใจให้ดี
2.2.2 ชุดเจ้าหนี้ผิดนัด??ม.ที่สำคัญ ก็คือ ม.207 + ม.210??โดยมี ม.211 + ม.212
เป็นข้อยกเว้น
2.3 ชุดสิทธิของเจ้าหนี้ ในกรณีที่ลูกหนี้ผิดนัด??ม.ที่สำคัญๆ ก็คือ ม.213 + ม.214 + ม.215 + ม.216??ในส่วนนี้เราควรทำความเข้าใจว่า เมื่อลูกหนี้ตกเป็นผู้ผิดนัดแล้ว เจ้าหนี้ย่อมที่จะเกิดสิทธิดังต่อไปนี้ขึ้นมา กล่าวคือ
2.3.1 สิทธิในการที่จะเรียกให้ลูกหนี้ชำระหนี้โดยเฉพาะเจาะจง ตาม ม.213
2.3.2 สิทธิในการที่จะให้ชำระหนี้ของตนจากทรัพย์สินของลูกหนี้จนสิ้นเชิง ตาม ม.214
2.3.3 สิทธิในการที่จะเรียกค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายที่เกิดจากการที่ลูกหนี้ผิดนัดไม่ชำระหนี้ ตาม ม.215?..ในส่วนนี้ให้ดู ม.222 + ม.223 ประกอบด้วยจะดีมากครับ??( โดยเฉพาะ ม.223 นั้น สามารถโยงไปหา ม. 442 ของกฎหมายละเมิดได้ด้วย )
2.3.4 สิทธิในการบอกปัดไม่รับชำระหนี้ ถ้าการชำระหนี้นั้นเป็นอันไร้ประโยชน์แก่เจ้าหนี้ ตาม ม.216
2.3.5 สิทธิในการบอกเลิกสัญญา ตาม ม.387 + ม.388
2.4 ชุดความรับผิดของลูกหนี้??.ม.ที่สำคัญๆในส่วนนี้ ก็คือ ม.217 + ม.218 + ม.219ในส่วนนี้มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งอันหนึ่งของกฎหมายหนี้??ดังนั้นจึงควรที่จะทำความเข้าใจให้ดี??และในส่วนนี้สามารถโยงไปหา ม.370 + ม.371 + ม.372 ได้ และมักจะนำมาออกคู่กันอยู่เสมอๆ??ดังนั้นจึงควรที่จะต้องดูเชื่อมโยงกันด้วยจะดีเอามากๆ?..( ในส่วนนี้ถ้ามีเวลาผมอาจจะเขียนบทความเอาไว้ให้??อย่างไร ก็ช่วยเตือนผมด้วยนะครับ )
2.5 ชุดเครื่องมือของเจ้าหนี้ในการที่จะบังคับให้สมดังสิทธิของเจ้าหนี้??ในส่วนนี้เราควรที่จะทำความเข้าใจก่อนว่า ในระหว่างที่เป็นเจ้าหนี้เป็นลูกหนี้กันนั้น อาจจะมีเหตุการณ์ต่างๆเกิดขึ้นมา แล้วอาจทำให้สิทธิของเจ้าหนี้ที่มีต่อลูกหนี้สูญ เสียหรือเสียหายได้??ดังนั้นกฎหมายจึงได้กำหนดหลักเกณฑ์ ( ซึ่งเราจะเรียกในที่นี้ว่า เครื่องมือของเจ้าหนี้ ) ขึ้นมา??เพื่อให้เจ้าหนี้ได้ใช้บังคับไม่ให้สิทธิที่ตนมีอยู่นั้นต้องสูญเสีย หรือเสียหายไป นั่นเอง??โดยเครื่องมือของเจ้าหนี้มีดังต่อไปนี้
2.5.1 รับช่วงสิทธิ??ม.ที่สำคัญ ก็คือ ม.226 + ม.227 + ม.228 + ม.230
2.5.2 การใช้สิทธิเรียกร้องของลูกหนี้??ม.ที่สำคัญ คือ ม.233 + ม.235 + ม.236
2.5.3 เพิกถอนการฉ้อฉล??ม.ที่สำคัญ คือ ม.237 + ม.238
2.3.4 สิทธิยึดหน่วง??ม.ที่สำคัญ คือ ม.241 + ม.242 + ม.243 +ม.24

2.6 ชุดเจ้าหนี้ร่วมลูกหนี้ร่วม??ม.ที่สำคัญๆ ก็คือ ม.290 + ม.291 + ม.292 + ม.294 + ม.296 + ม.300 + ม.301
2.7 ชุดโอนสิทธิเรียกร้อง??ม.ที่สำคัญๆ ก็คือ ม.303 + ม.304 + ม.306 + ม.308
2.8 ชุดความระงับแห่งหนี้??ในส่วนนี้พึงควรทำความเข้าใจก่อนว่า จะมีเฉพาะแต่กรณีดังต่อไปนี้เท่านั้นที่จะทำให้หนี้ที่มีอยู่นั้นระงับลงไป??.ดังนั้นถ้านอกเหนือไปจากนี้แล้วย่อมไม่ทำให้หนี้ที่มีอยู่นั้นระงับลงไปแต่อย่างใดไม่??.ซึ่งกรณีที่ทำให้หนี้ระงับมีดังต่อไปนี้
2.8.1 การชำระหนี้??.ม.ที่สำคัญ ก็คือ ม.314 + ม.315 + ม.320 + ม.321 + ม.330 + ม.331
2.8.2 ปลดหนี้??ม.ที่สำคัญ คือ ม.340
2.8.3 หักกลบลบหนี้??ม.ที่สำคัญ ก็คือ ม. 341 + ม.342 + ม.344 + ม.345 + ม.346
2.8.4 แปลงหนี้ใหม่??ม.ที่สำคัญ ก็คือ ม.349 + ม.350 + ม.351
2.8.5 หนี้เกลื่อนกลืนกัน??ม.ที่สำคัญ ก็คือ ม.353

วันเสาร์ที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2554

วิทยาศาสตร์มีประโยชน์กับบ้านอย่างไร

เมื่อคำว่าประโยชน์ใช้มนุษย์เป็นที่ตั้งแล้ว สิ่งที่เรามองค่าที่ก่อให้เป็นบวก + ในเชิงวิทยาศาสตร์ก็กลายเป็นผลบวกในทางอ้อม หรือการประยุกต์ ดังที่ครูแก่เล่าได้ครอบคลุมมาก
ตอบเป็นปรัชญา คือ วิทยาศาสตร์เป็นการพัฒนากระบวนการวิทยาศาสตร์นั้นเอง เช่น กลุ่มนักวิจัยลงทุนด้วยการสร้างห้องจำลองการเกิดการระเบิดของอนุกภาคของศูนย์วิจัยเซิร์น มากกว่าเงินพัฒนาประเทศไทยอีก ประโยชน์คืออะไร ถ้าตอบต่อบ้าน ต่อโรงเรียนและสถานต่าง ๆ ก็นักวิจัยนั้นคงพูดไม่ออก แต่ถ้าตอบเพื่อทราบสัมผัส รู้ เข้าใจ ใช้ และตัดสินใจในอนาคตนั้น มันเกี่ยวโยงได้ ความรู้ความสามารถวิทยาศาสตร์ปกป้องโลก จากการทำนายล้างโลกได้ คำทำนายอาศัยประสบการณ์สัมผัสแล้วตัดสินใจ แต่กระบวนการวิทยาศาสตร์มีความเป็นระบบไม่ลัดขั้นตอน ใช้ระยะเวลาที่มากแต่มั่นคง
การมีชีวิตอยู่ของคนที่พึ่งสิ่งที่เกิดจากความเข้าใจ และสร้างสรรค์งานต่าง ๆ ออกมานั้น เป็นผลจากการทราบแค่ข้อเล็ก ๆ ของวิทยาศาสตร์ที่มาประดิษฐ์ประดอยต่อกัน คนที่สร้างทฤษฎีพลังงานอาจจะสร้างพลังงานสู้คนที่เข้าใจเรื่องพลังงานไม่ได้ ก็มี ด้วยปัจจัยหลาย ๆ ประการ มนุษญ์จึงจำเป็นต้องพึ่งพาอาศัยความรู้ใร้ขีดจำกัดของการปิดบัง
วิทยาศาสตร์จึงเป็นตรรกะ ง่ายที่สุดที่ทำให้คนแต่ละภาษาเข้าใจตรงกันง่ายที่สุดเช่นกัน
ประโยชน์ก็เพื่อการปรับตัวไม่ว่าจะเป็นคน สัตว์ สิ่งของ สิ่งต่าง ๆ บนโลกใบเดียวกันล้านจำเป็นต้องปรับตัวเพื่อความอยู่รอดเช่นเดียวกัน
มนุษย์พยามที่จะเรียนรู้ได้ว่าการมีชีวิตรอดในสภาวะที่มีเชื้อโรคที่หลากหลายชนิดมากกว่าครั้นหมื่นหรือสองหมื่นปีมานั้น ด้วยกระบวนการเรียนรู้และการถ่ายทอดทักษะทางวิทยาศาสตร์มีลำดับที่แน่นนอน ถึงแม้นจะมีข้อจำกัดอยู่บ้างแต่ข้อจำกัดเหล่าน้นก็ลดน้อยลงเรื่อย ๆ เพื่อประโยชน์ของมนุษย์นั้นเอง
ความสำคัญของวิทยาศาสตร์จึงเป็นเหตุให้เกิดประโยชน์ของวิทยาศาสตร์ตามมานั้นเอง
วิทยาศาสตร์มีประโชน์ ต่อบ้าน โรงเรียน และสถานที่ต่างๆ ดังนี้

วิทยาศาสตร์มีประโยชน์ต่อมนุษย์และมีบทบาทสำคัญต่อการพัฒนาประเทศ ผลของการศึกษาค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์ เกี่ยวโยงกับความเจริญในด้านต่างๆ เช่น การแพทย์ การสื่อสารคมนาคม การเกษตร การศึกษา การอุตสาหกรรม การเมือง การเศรษฐกิจ ฯลฯ สรุปได้ดังนี้
1. วิทยาศาสตร์ช่วยให้มีความสามารถในสังคม ในสังคมที่มีสิ่งแวดล้อมทางวิทยาศาสตร์ บุคคลที่มีความรู้ทางวิทยาศาสตร์ จะเป็นผู้มีความสามารถ และมีความสำคัญต่อการพัฒนาชุมชนและสังคม
2. วิทยาศาสตร์ช่วยแนะแนวอาชีพ วิทยาศาสตร์ก่อให้เกิดอาชีพหลายสาขา และเป็นประโยชน์ต่อการดำรงชีวิต
3. วิทยาศาสตร์ช่วยให้เกิดความเจริญทางร่างกายและจิตใจ การได้รับความรู้ทางวิทยาศาสตร์ทั้งทางด้านทฤษฎีและปฏิบัติ ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพ อนามัย อาหาร การดำรงชีวิต จะช่วยให้ร่างกายเจริญเติบโตและมีสุขภาพแข็งแรง
4. วิทยาศาสตร์ช่วยให้เป็นผู้บริโภคที่สามารถ หมายถึง การตัดสินใจในการใช้สินค้าหรือบริการต่างๆ โดยอาศัยหลักการทางวิทยาศาสตร์
5. วิทยาศาสตร์ช่วยให้รู้จักใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ในการศึกษาค้นคว้าเรื่องที่สนใจ
6. วิทยาศาสตร์ช่วยให้รู้จักใช้ทรัพยากรธรรมชาติให้เป็นประโยชน์
7. วิทยาศาสตร์ช่วยแก้ปัญหาต่างๆ
ความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มีบทบาทสำคัญต่อชีวิตประจำวัน การที่เราจะอยู่ได้อย่างทันโลกและทันเหตุการณ์ จำเป็นต้องศึกษาหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์ใหม่ อยู่เสมอ เพราะวิทยาศาสตร์มีประโยชน์เกี่ยวข้องกับชีวิต และเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างคุณภาพที่ดีแก่ชีวิต

ข้อดีของ ความทุกข์-ความสุข

ข้อดีของความทุกข์

ทำให้เราเข้มแข็งขึ้น
ทำให้รู้ถึงค่าของความสุข
ทำให้เรามีความสามารถมากขึ้น
ทำให้เรามีสิ่งที่ต้องทำ (ทำเพื่อให้หายทุกข์)
ทำให้เรามีประสบการณ์ในการแก้ปัญหามากขึ้น
ทำให้เรามีความอดทนมากขึ้น
ทำให้ความสุขมีค่ามากขึ้น
ทำให้มีความระมัดระวังมากขึ้น
ทำให้เรามองโลกกว้างมากขึ้น
ทำให้เราเห็นได้ว่าใครคือคนที่เป็นที่พึ่งยามยากของเรา
ทำให้เราได้รู้ว่ามีใครบ้างที่ห่วงเรา
ทำให้เราได้รู้ว่ามีใครบ้างที่เป็นมิตรแท้ของเรา
ทำให้รู้ได้ว่าเพื่อนของเรามีความสามารถแค่ไหน
ทำให้เรารู้ว่าใครมีความสามารถขนาดไหน
ทำให้เรารู้ได้ว่ามีคนไหนที่รักเราจริง
ทำให้เรารู้ว่าการหัวเราะเป็นสิ่งจำเป็น
ทำให้เราพยายามที่จะมองโลกในแง่ดีมากขึ้น
ทำให้เรามาค้นหาข้อดีของความทุกข์

ข้อดีของการทำใจให้เป็นสุข

ทำให้เราสดชื่นขึ้น
ทำให้ไม่อยากคิดเรื่องทุกข์
ทำให้เรามีความสามารถมากขึ้น
ทำให้เรามีสิ่งที่ต้องทำเพื่อเพิ่มเติมความสุข
ทำให้เรามีแนวความคิดทางด้านดี
ทำให้เรามีความมุ่งหมายให้คนอื่นมีสุขมากขึ้น
ทำให้ความทุข์หมดค่า
ทำให้อยากรักษาความสุขเอาไว้เสมอๆ
ทำให้เรามองโลกกว้างมากขึ้น
ทำให้เราเห็นได้ว่าใครคือคนที่ดีในสายตาเรา
ทำให้เราได้รู้ว่ามีใครบ้างที่คิดดีกับเรา
ทำให้เราได้รู้ว่ามีใครบ้างที่เป็นมิตรเรา
ทำให้เราได้ว่าแสดงให้เห็นว่าเรามีความสามารถแค่ไหน
ทำให้เรารู้ว่าความอิ่มเอมเป็นเช่นใด
ทำให้เรารู้ได้ว่าเรารักใคร
ทำให้เรารู้ว่าการหัวเราะเป็นเพียงสิ่งที่นำมาซึ่งความสุข
ทำให้เรามองโลกในแง่ดีมากขึ้น
ทำให้เรามาค้นหาการกำจัดความทุกข์
ทำให้ชีวิตคนรอบข้างมีสุขตามเรา
ทำให้งานมีคุณภาพ
ทำให้สังคมสดชื่น
ทำให้คนอื่นๆ อยากคบหาสมาคมกับเรา
ทำให้ทำสิ่งใดก็มีแต่คนช่วยเหลือ..
ทำให้เราได้ทำจิตให้สงบ
ทำให้เราได้ปลงกับกับความสุข
ทำให้เรามองความสุขเป็นเรื่องที่ต้องมี
ทำให้คนรอบข้างอยากมีความสุข
ทำให้เรื่องทุกข์ไม่เกิดขึ้น
ทำให้โลกนี้น่าอยู่ขึ้น…
ทำให้ความสุข เป็นความสุขยิ่งขึ้น…

วันศุกร์ที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2554

กฎหมายลักษณะหนี้

กฎหมายลักษณะหนี้

หนี้ ตามปพพ.มิได้มีความหมายเฉพาะการกู้ยืมเงิน แต่หมายถึง ความผูกพันที่สามารถใช้สิทธิเรียกร้องได้ตามกฎหมาย เช่น หนี้โดยการละเมิด หนี้โดยกฎหมาย เช่น ภาษีอากร เป็นต้น
องค์ประกอบของหนี้ มีลักษณะสำคัญดังนี้
1.การมีนิติสัมพันธ์ (ความผูกพันกันในกฎหมาย) หากกฎหมายไม่รองรับการนั้นก็ไม่เกิด
หนี้ผูกพันด้วย
2.การมีเจ้าหนี้และลูกหนี้(เป็นบุคคลสิทธิ)
3.ต้องมีวัตถุแห่งหนี้ ได้แก่
- หนี้กระทำการ เช่น ลูกจ้างต้องทำงานให้นายจ้าง
- หนี้งดเว้นกระทำการ เช่น ผู้เป็นหุ้นส่วนต้องงดเว้นไม่ทำการค้าแข่งกับห้างหุ้นส่วน
- หนี้ส่งมอบทรัพย์สิน(หรือโอนกรรมสิทธิ์) เช่น ผู้ให้เช่าต้องส่งมอบทรัพย์สินซึ่งให้เช่า
บ่อเกิดแห่งหนี้
1.หนี้ เกิดโดย นิติกรรม-สัญญา ซึ่งเมื่อมีการผูกนิติสัมพันธ์ขึ้น ก็ย่อมเกิดความเป็นเจ้าหนี้-ลูกหนี้ขึ้น โดยปกติ เมื่อเกิดหนี้ ลูกหนี้จะหลุดพ้นจากเคราะห์แห่งหนี้ได้ด้วยการชำระหนี้ ซึ่งจะชำระหนี้อย่างไรนั้น ย่อมเป็นไปตามที่ตกลงในสัญญาที่ทำลง กฎหมายจะไม่ยุ่งเกี่ยว แต่จะคอยควบคุมอยู่กว้าง ๆ มิให้ออกนอกกรอบที่กฎหมายระบุ เพราะนิติกรรมเป็นบรรดากรณีที่กฎหมายไม่อาจกล่าวได้ทั้งหมด เช่นการซื้อขายรถยนต์ การเช่าหมู เป็นต้น การตกลงกันทางธุรกิจ กฎหมายจึงไม่เกี่ยวข้องด้วย แต่กำหนดกรอบมิให้กระทำทุจริตเท่านั้น
บาง ทีมีการกระทำ(ซึ่งมีผลทางกฎหมาย) แต่มิได้มุ่งหมายผูกพันประการใด เช่น เราทำละเมิดตีหัวคนอื่นเขา แต่มิใช่เป็นเรื่องที่จะผูกนิติสัมพันธ์ว่า เมื่อตีหัวเขาแล้วจะใช้ค่าสินไหมทดแทนให้เขา จึงปรับเข้าลักษณะนิติกรรมไม่ได้ [3] กระนั้น ผู้ทำผิดดังกรณีนี้เป็นละเมิด ไม่ต้องชดใช้ค่าเสียหายกระนั้นหรือ? กฎหมายเองได้คุ้มครองกรณีนี้ไว้ เรียกว่า “นิติเหตุ”
2.หนี้ เกิดโดยนิติเหตุ คือ เหตุที่เกิดขึ้นโดยการกระทำซึ่งไม่มุ่งก่อให้เกิดผลตามกฎหมาย แต่กฎหมายจะเอาเรื่องว่า กระทำดั่งนี้ผิด และต้องชดใช้ เช่น ละเมิด ลาภมิควรได้(ได้ทรัพย์สินเกินส่วนที่ควรจะได้) หรือ เป็นนิติเหตุตามที่กฎหมายบัญญัติ เช่น บุตรจำเป็นต้องอุปการะเลี้ยงดูบิดามารดา(กรณีนี้เป็นหนี้เนื่องจากสถานะของ บุคคล)[4] เป็นต้น โดยผู้กระทำผิดตามหนี้ลักษณะนี้ ต้องจ่ายค่าสินไหมทดแทน ซึ่งศาลจะเป็นผู้วินิจฉัยตามควรแก่พฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งเหตุ
กำหนดการชำระหนี้
หาก คู่กรณีมิได้กำหนดเวลาชำระหนี้ไว้แน่นอน กฎหมายให้ถือว่า หนี้นั้นต้องถึงกำหนดชำระโดยพลัน แต่ถ้าตกลงกันไว้แล้ว ก็ให้เป็นไปตามที่ตกลงไว้
การชำระดอกเบี้ย หากตกลงอัตราดอกเบี้ยกันไว้ กฎหมายให้คิดอัตราไม่เกินร้อยละ15ต่อปี
กรณีมิได้ตกลงอัตราดอกเบี้ยกันไว้ ให้คิดอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี
*หาก ฝ่าฝืน คิดดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด คือ เกินร้อยละ15ต่อปี กฎหมายให้ถือว่าดอกเบี้ยนั้น เป็นโมฆะ มิให้คิดดอกเบี้ยเลย แต่เงินต้น(ที่เป็นหนี้)นั้น ลูกหนี้ยังคงต้องชำระอยู่
คำถาม หนี้จะระงับสิ้นด้วยวิธีใดบ้าง ?

ตอบ หนี้จะระงับสิ้น(ไม่ต้องใช้หนี้อีก) มีเพียง 5 กรณีนี้เท่านั้น คือ
1.การชำระหนี้ เข้าหลัก “มีหนี้ต้องชำระ”
2.การปลดหนี้ คือ เจ้าหนี้ยอมปลดหนี้ให้แก่ลูกหนี้โดยเสน่หา ทำโดยขีดฆ่า หรือ คืนเอกสารหลักฐานการเป็นหนี้ให้แก่ลูกหนี้เสีย
3.การหักกลบลบหนี้ คือ บุคคลทั้งสองมีความเป็นเจ้าหนี้และลูกหนี้ซึ่งกันและกัน ก็เอาหนี้ซึ่งกันและกันมาหักกลบกันไป
4.การ แปลงหนี้ใหม่ คือ เปลี่ยนสาระสำคัญของหนี้ เช่น เปลี่ยนตัวเจ้าหนี้ เปลี่ยนตัวลูกหนี้ เปลี่ยนวัตถุแห่งหนี้ ตัวอย่าง นาย ก. เป็นหนี้ นายข.อยู่500บาท พอถึงกำหนดชำระหนี้ นาย ข.ผู้เป็นเจ้าหนี้ ก็ให้นายก.ตัดหญ้าในสนามหลังบ้าน เป็นการชำระหนี้แทนเงิน
5.หนี้เกลื่อน กลืนกัน คือ หนี้ที่ความเป็นเจ้าหนี้และลูกหนี้อยู่ในตัวคนเดียวกัน เช่นนาย ข. เป็นหนี้นาย ก.5พันบาท แต่ภายหลังนาย ก.ตาย และทำพินัยกรรมยกทรัพย์สินให้แก่นาย ข . แต่เพียงผู้เดียว เช่นนี้กฎหมายให้ถือว่าหนี้ระงับสินไป เพราะสิทธิและหน้าที่ของผู้ตาย ตกอยู่ในตัวคนผู้เป็นลูกหนี้แล้ว
***ระวัง กรณีหนี้ขาดอายุความนั้น เป็นเพียง กรณีที่หนี้นั้นไม่อาจฟ้องร้องบังคับคดีต่อกันได้เท่านั้น แต่สภาพความเป็นเจ้าหนี้-ลูกหนี้นั้น ยังคงอยู่ หนี้หาได้ระงับสิ้นไปไม่
คำถาม กฎหมายลักษณะหนี้มีความสำคัญมากน้อยเพียงใดในปัจจุบันนี้ ?

ตอบ ใน ทางการศึกษากฎหมาย เมื่อเรียนรู้กฎหมายลักษณะนิติกรรมและสัญญาแล้ว มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเรียนรู้ผลสืบเนื่องจากนิติกรรมและสัญญาต่อ ผลสืบเนื่องที่ว่านั้นก็คือ เรื่อง “หนี้” เพราะนิติกรรมสัญญาเป็นบ่อเกิดที่สำคัญของหนี้ ท่านอาจารย์เปรียบเทียบว่า “วิชา นิติกรรมและสัญญาเหมือนการสร้างห้องห้องหนึ่ง ซึ่งผู้สร้างจะต้องเข้าใจเรื่องวิธีการสร้าง ขั้นตอนการสร้าง โครงสร้างหรือองค์ประกอบต่าง ๆ จนกระทั่งสร้างห้องเสร็จ วิชากฎหมายลักษณะหนี้จะไม่สนใจรายละเอียดเหล่านั้น แต่จะรับช่วงต่อ คือ มาศึกษาการอยู่ การใช้ การรักษาห้องต่อไป เป็นเรื่องสิทธิและหน้าที่ที่ผู้อยู่ในห้องนั้นจะต้องกระทำ ต้องดูแลเอาใจใส่เมื่อมีการสร้างห้องมาแล้ว วิชาลักษณะแห่งหนี้จึงเป็นวิชาที่ต้องเรียนสืบเนื่องจากนิติกรรมและสัญญา”
นอกจากนี้ พบว่าในหลักเรื่องหนี้นั้น ถ้าสาวความเป็นมาก็มีมาตั้ง 2,000 กว่าปี คือ ตั้งแต่สมัยโรมัน มีการเขียนไว้นานมาก แต่ยังใช้กันอยู่ในปัจจุบัน แม้โดยรายละเอียดจะต่างกัน แต่หลักการสำคัญก็ยังคงเดิม กฎหมายเรื่องหนี้เป็นหลักเกณฑ์ที่ว่าด้วยความถูก ความผิด ความดี ความชั่ว มีเหตุผลในตัวของมันเอง แม้กาลเวลาจะเปลี่ยนไป หลักการนี้ก็ยังคงอยู่
ที่ สำคัญในปัจจุบันนั้น พบว่า สัญญาในเอกเทศสัญญาบรรพ 3 มีชื่อสัญญาประเภทต่าง ๆ ที่มีบทบัญญัติ จำนวน 23 ชื่อเท่านั้น แต่ในทางธุรกิจปัจจุบันมีมากกว่านี้เยอะ ที่มีชื่อต่างจากชื่อสัญญาตามบทบัญญัติทางกฎหมาย (เช่น สัญญาแชร์เปียหวย) ปัญหาจึงมีอยู่ว่าเวลาเกิดเรื่องใครจะรับผิดชอบ จะเอากฎหมายอะไรมาว่า สัญญาบางอย่างก็เขียนไว้ไม่หมด สิ่งที่จะเอามาใช้แก้ปัญหาก็คือ กฎหมายลักษณะหนี้ : หลักทั่วไปนี้แหล่ะ กฎหมายลักษณะหนี้จึงมีความสำคัญมากในปัจจุบัน....ท่านอาจารย์ยังย้ำอีกว่า หนี้หลักทั่วไปนี้ใช้เป็นฐานของมูลหนี้ทุกเรื่องได้ ในปัจจุบันนี้ ป.พ.พ. ตั้งแต่มาตรา 194-353 ซึ่งเป็นเรื่องหนี้จึงใช้มากกว่าอดีตมากทีเดียว

คำถาม หนี้คืออะไร ?

ตอบ คำจำกัดความของคำว่า “หนี้” นั้นมีอยู่ว่า “ความสัมพันธ์ทางกฎหมายระหว่างบุคคลฝ่ายหนึ่ง (ลูกหนี้) ที่จะต้องกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งให้แก่อีกฝ่ายหนึ่ง (เจ้าหนี้)” คำว่า “หนี้” จึงเป็นเรื่องของความสัมพันธ์ในทางกฎหมายระหว่างบุคคลสองฝ่าย กล่าวคือ ความสัมพันธ์อันนั้นมีกฎหมายรองรับอยู่ ซึ่งความสัมพันธ์บางอย่างนั้น ไม่มีกฎหมายรองรับ เช่น การบอกรักกัน ไม่มีกฎหมายรองรับ หรือ คนจะทำดีบุญกุศล ถึงแม้จะเป็นเรื่องความถูกต้องดีงามที่ศาสนาต่าง ๆ ก็ส่งเสริม แต่ก็ไม่มีกฎหมายไหนเขียนไว้ว่า คนในรัฐต้องทำบุญ อย่างนี้เรียกว่า ไม่มีกฎหมายรองรับ แต่ว่าเรื่องหนี้มีกฎหมายรองรับ มีความเกี่ยวข้องกับเรื่อง “สิทธิ” และ “หน้าที่” ดัง ในมาตรา 194 และ 213 บ่งชัดเรื่องหน้าที่ของลูกหนี้ที่จะต้องชำระหนี้ และสิทธิของเจ้าหนี้ที่จะร้องขอต่อศาลให้สั่งบังคับชำระหนี้ กรณีที่ลูกหนี้ไม่ทำตามสัญญา เป็นต้น
คำถาม ในชีวิตประจำวันคุณเป็นเจ้าหนี้หรือลูกหนี้ ?

ตอบ แม้เราจะไม่ต้องการเป็น “เจ้าหนี้” หรือ “ลูกหนี้” แต่ โดยความเป็นจริงตามหลักการทางกฎหมาย เราเป็นทั้งเจ้าหนี้และลูกหนี้ได้ทุกวัน ดังเช่นในสัญญาซื้อขาย เมื่อเราตกลงซื้อสินค้าอย่างใดอย่างหนึ่ง ในฐานะผู้ซื้อเราเป็น “เจ้าหนี้” มีสิทธิที่จะได้รับสินค้า(ทรัพย์) จากผู้ขายซึ่งอยู่ในฐานะ “ลูกหนี้” ที่มีหน้าที่จะต้องส่งมอบสินค้า(ทรัพย์)ให้เรา ในทางกลับกันในฐานะเป็นผู้ซื้อ เราก็ยังเป็น “ลูกหนี้” มีหน้าที่จะต้องชำระราคาแก่ผู้ขาย ซึ่งเป็น “เจ้าหนี้” มีสิทธิที่จะได้รับเงิน(การชำระราคา) จะเห็นได้ว่า ในชีวิตประจำวันนั้นเราเป็นได้และได้เป็นทั้งเจ้าหนี้และลูกหนี้ อย่างนี้นี่เอง
ดูตัวบทกฎหมายประกอบ ม.461 (เรื่องการส่งมอบทรัพย์สิน) ม.453 (เรื่องการโอนกรรมสิทธิ์) และ ม.486-487 (เรื่องการชำระราคา)
คำถาม องค์ประกอบสำคัญแห่งหนี้คืออะไร ?

ตอบ องค์ประกอบสำคัญแห่งหนี้นั้นมี 3 ประการ ได้แก่
1) ลูกหนี้
2) วัตถุแห่งหนี้
3) เจ้าหนี้
ในบรรดา 3 ประการนี้ ข้อ 1 และ 2 สำคัญที่สุด เพราะเป็นสิ่งที่จะต้องรู้และต้องมีแน่เวลามีมูลหนี้เกิดขึ้น จะบอกลอย ๆ ว่า “จะมีการชำระเงินเกิดขึ้น “ โดยไม่มีลูกหนี้และวัตถุแห่งหนี้ไม่ได้เลย ใครเป็นลูกหนี้ หรือใครมีหน้าที่จะต้องทำและทำอะไร เพราะฉะนั้น ลูกหนี้จะต้องมีเสมอเมื่อหนี้เกิด และวัตถุแห่งหนี้ก็ต้องมีด้วย “วัตถุแห่งหนี้” คือ ความผูกพันที่จะต้องทำการชำระสิ่งใดสิ่งหนึ่งหรือคำตอบที่ว่าลูกหนี้จะต้องทำอะไรนั่นเอง
ทั้ง นี้ เจ้าหนี้นั้น โดยปกติก็ต้องมีด้วย แต่บางกรณีเจ้าหนี้ไม่มีก็ได้ อาจเกิดคำถามว่า ลูกหนี้จะไปชำระให้ใครในเมื่อไม่มีเจ้าหนี้ ความหมายก็คือ มีบางกรณีที่ในขณะที่หนี้เกิดขึ้นนั้น อาจจะยังไม่ยังไม่แน่นอนว่าคือใคร เช่นกรณีเรื่องตั๋วเงิน ซึ่งจะต้องชำระหนี้ตามคำสั่ง คือ ต้องรอคำสั่งว่าผู้ที่ถือตั๋วเงินอยู่จะต้องไปชำระเงินกับใคร (ชำระหนี้ตามเขาสั่ง) เพราะฉะนั้นในขณะนี้เจ้าหนี้ยังไม่มีและลูกหนี้ก็ไม่รู้ว่าจะชำระหนี้กับใคร
คำถาม วัตถุแห่งหนี้คืออะไร ?

ตอบ หลายคนมักเข้าใจว่า”วัตถุ” หมายถึง สิ่งมีรูปร่าง ตามความหมายในพจนานุกรม แต่ในทางกฎหมายหาเป็นเช่นนั้นไม่ วัตถุแห่งหนี้ (subject of obligation) หมายถึง ตัวเนื้อหาของการชำระหนี้ กล่าวคือ ลูกหนี้มีหน้าที่ชำระหนี้ จะต้องทำอะไร ซึ่งมี 3 ประการ ได้แก่
1) กระทำการ เช่น การทำตามสัญญาจ้างแรงงาน เช่น โรงงานประกอบเครื่องยนต์ มีสัญญาจ้างงานลูกจ้างมาทำหน้าที่ประกอบเครื่องยนต์ ลูกจ้างต้องกระทำการตามสัญญาซึ่งอาจจะด้วยแรงกายหรือสติปัญญาก็ตาม ในฝ่ายโรงงานก็มีหน้าที่ที่จะต้องทำตามสัญญา เช่น การชำระค่าจ้างเป็นต้น
2) งดเว้นกระทำการ ในมาตรา 194 วางหลักไว้เกี่ยวกับการงดเว้นกระทำการว่า ลูกหนี้สามารถชำระหนี้ได้ด้วยการงดเว้นกระทำการอันใดอันหนึ่งก็ได้ เช่น ข้อตกลงห้ามแข่งขันทางการค้าหรือกรณีห้ามนักร้องที่สังกัดค่ายเพลงคู่สัญญา ไปร้องเพลงกับค่ายอื่น เป็นต้น อย่างนี้เรียกว่า “งดเว้นกระทำการ” คือ อยู่เฉย ๆ ไม่ทำอะไรก็เป็นการชำระหนี้ได้
3) ส่งมอบทรัพย์สิน เช่น กรณีที่ผู้ขายส่งมอบทรัพย์สินตามสัญญา
ข้อสังเกต

เวลา เราพูดถึงเรื่องหนี้กระทำการ ย่อมเป็นเรื่องทางกาย สติปัญญาความสามารถ ส่วนประเด็นนี้เป็นเรื่องของการเคลื่อนที่ของตัวทรัพย์ การส่งทรัพย์ ต่างจากการกระทำทางกายภาพและอาจจะต่างกันที่อาจจะมีการบังคับการไม่เหมือน กัน เห็นได้ชัดในมาตรา 213 เนื่องจากเรื่องการส่งมอบทรัพย์ ศาลสั่งบังคับให้ลูกหนี้ชะรำหนี้ให้เจ้าหนี้ได้เสมอ แต่กรณีที่ลูกจ้างเบี้ยวงาน จะร้องขอต่อศาลให้สั่งบังคับให้ลูกหนี้ทำงานไม่ได้และไม่มี อย่างดีก็แค่ไล่ออก เพราะการกระทำนั้นอยู่ในสภาพแห่งหนี้ที่ไม่เปิดช่อง แต่ถ้าจะแปลงเป็นค่าเสียหายก็ได้ (ม. 213)

วันจันทร์ที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2554

อะไรบ้างที่เป็นข้อดีทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของไทย


1. การทำฝนเทียม
ฝนเทียมหรือที่มีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่าฝนหลวง อันเป็นโครงการในพระราชดำริของ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ของเรา ฝนหลวงเป็นการจัดการแปรสภาพอากาศให้
เกิดฝนตกในบริเวณที่ต้องการ โดยมีช่วงเวลาที่ตกตลอดพื้นที่สอดคล้องกับเป้าหมายที่วางไว้
นับเป็นการจัดการสภาพอากาศเพื่อแก้ปัญหา หรือบรรเทาปัญหา ปริมาณน้ำ เป็นข้อดีของการปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์ในวันที่จะบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน
ให้มีน้ำใช้เพื่อการเกษตรในภาวะที่เกิดภัยแล้ง
การทำฝนเทียม (Artificial rain enhancement) เป็นการผสมผสานความรู้เทคโนโลยีสาขาต่าง ๆ
เช่น อุตนิยมวิทยาเคมี ฟิสิกส์ วิศวกรรม และอิเล็กทรอนิกส์ มาดัดแปลงสภาพอากาศเพื่อทำ
ให้เกิดฝนตกในพื้นที่เป้าหมายหรือไปเพิ่มปริมาณน้ำฝน
ให้สูงกว่าที่เกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติ ฝนเทียมนี้เป็นหนึ่งในงานดัดแปลงสภาพอากาศที่มีอยู่หลายอย่าง
เช่น การลดความรุนแรงของพายุ การทำลายหมอก การหยุดฟ้าแลบ การยับยั้งการเจริญเติบโตของก้อนเมฆ เป็นต้น สำหรับการทำฝนเทียมนั้นมีวิธีที่นิยมกันอยู่ 3 วิธีด้วยกัน คือ การฝนหรือโปรยสารเคมีจากเครื่องบินเข้าสู่เมฆ การใช้เครื่องพ่นผงเคมีหรือควันเคมีจากพื้นดินเข้าสู่เมฆ และการใช้จรวดหรือบอลลูนบรรจุสารเคมี
ให้ไประเบิดในก้อนเมฆประเทศไทยเป็นประเทศที่อยู่ในเขตร้อย เมฆของเราเป็นเมฆอุ่น เราจึงปฏิบัติการดัดแปลงสภาพอากาศจากเมฆอุ่นโดยที่สภาวะที่เหมาะสมในการทำฝนที่สำคัญอยู่ที่ปริมาณความชื่น
ในอากาศมีมาก ปริมาณและคุณสมบัติการกลั่นตัวมีพอเหมาะ และบรรยากาศไม่มีเสถียรภาพ
โดยเฉพาะการลอยตัวขึ้นสู่บรรยากาศชั้นบน การเกิดฝนในแต่ละวันนั้นมีปัจจัยหลายประการ เราต้องมีวิธีดำเนินการเพื่อให้ปัจจัยที่เหมาะสมต่อการเกิดฝนนั้น คงอยู่ในบริเวณเป้าหมายให้นานที่สุด จะทำเช่นนี้ได้ก็ต้องอาศัยข้อมูลจากการตรวจวัดสภาพอากาศในแต่ละวัน ถ้ามีความเหมาะสมก็จะฝนเทียม

2. กังหันชัยพัฒนา
กังหันชัยพัฒนาหรือกังหันเติมอากาศ เป็นวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของประเทศไทย ได้ประดิษฐ์ขึ้นจากพระปรีชาสามารถของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวองค์ปัจจุบัน
ที่ทรงห่วงใยต่อพสกนิกรของของพระองค์ ไม่ว่าจะเป็นชีวิตความเป็นอยู่และสุขภาพอนามัย ทรงมีพระราชปณิธานอันแน่วแน่ในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นต่าง ๆ ที่มีผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของพสกนิกร จนเป็นที่เลื่องลือไปถึงต่างประเทศถึงพระราชกรณียกิจของพระองค์
ปัญหามลพิษทางน้ำ นับวันจะยิ่งทวีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น และเป็นอีกปัญหาหนึ่งที่ทรงสนพระทัย ซึ่งได้พระราชทานแซวพระราชดำริให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องและองค์กรเอกชนได้ร่วมมือกันอย่างจริงจัง
ในการแก้ไขปัญหานี้ นอกจากนี้ยังทรงคิดค้นประดิษฐ์เครื่องกลเติมอากาศให้กับน้ำ เพื่อช่วยในการบำบัดน้ำเสียและได้พระราชทานให้กรมชลประทานและมูลนิธิชัยพัฒนาดำเนินการผลิตสิ่งประดิษฐ์นี้ สามารถนำไปใช้ประโยชน์ในการปรับปรุงคุณภาพของแหล่งน้ำ กล่าวคือใช้เพิ่มปริมาณออกซิเจนลงในน้ำนั้น
ซึ่งสามารถนำไปใช้ประโยชน์ต่าง ๆ ได้อย่างมากมาย เช่น การนำไปใช้บำบัดน้ำเสียที่เกิดจากการอุปโภคของประชาชน เน่าเสียที่เกิดจากโรงงานอุตสาหกรรมต่าง ๆ เป็นต้น นอกจากนี้ยังสามารถที่จะนำไปใช้ในการเพิ่ม
ปริมาณออกซิเจนในบ่อเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำต่าง ๆ ทางด้านเกษตรกรรม ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อเกษตรกรของประเทศไทย การประดิษฐ์กังหันชัยพัฒนานี้ต้องใช้ความรู้ความสามารถในด้านต่าง ๆ หลายด้าน เช่น ด้านวิศวกรรมสิ่งแวดล้อม
วิศวกรรมเครื่องกล และวิศวกรรมไฟฟ้า รวมทั้งยังต้องใช้ความสามารถในการออกแบบและ
คำนวณการประดิษฐ์เครื่องกลและกระบวนการทางชีววิทยา จนสามารถทำให้โครงการลุล่วงไปด้วยดี

3. จีเอ็มโอ (GMO)
จีเอ็ทโอ เป็นชื่อเรียกคำย่อของ Genitically Modified Organism) หรือ GMO หมายถึง สิ่งมีชีวิตที่ได้มี
การเปลี่ยนแปลงลักษณะทางพันธุกรรม โดยอาศัยเทคนิคทางพันธุวิศวกรรม (Genetic Engineering)
หรือเทคนิคที่เกี่ยวข้องกับการตัดต่อยีนส์
ประเทศไทยเป็นประเทศที่อาศัยการเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรเป็นพื้นฐานสำคัฅญของการพัฒนาเศรษฐกิจ
และสังคมของประเทศ นอกจากนี้ประเทศไทยได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกขององค์กรนานาชาติที่มีการเปิดตลาดซื้อขาย
แลกเปลี่ยนสินค้าด้านการเกษตรและอุตสาหกรรมการเกษตร ประเทศไทยซึ่งเกี่ยวข้องกับ
จีเอ็มโออย่างที่จะหลีกเลี่ยงได้ยาก จึงควรที่จะได้มีการศึกษาและทำความเข้าใจในเรื่องนี้ให้ชัดเจน ซึ่งจะเห็นได้ว่าด้านการผลิตเทคโนโลยีมีศักยภาพในการพัฒนาพันธุ์พืช พันธุ์สัตว์ให้มีคุณภาพและผลผลิตสูง
มีต้นทุนการผลิตต่ำ เพื่อสามารถแข่งขันในตลาดโลกได้ ขณะเดียวกันในด้านการนำเข้าสินค้าและผลิตภัณฑ์ ความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับจีเอ็มโอจะช่วยให้ประเทศสามารถกำหนดแนวทางปฏิบัติการ
คัดเลือกผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสม มีคุณภาพและปลอดภัยต่อผู้บริโภค

4. หนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์
นโยบายพัฒนาของประเทศไทย หันมาเน้นการพัฒนาเศรษฐกิจทั้งในระดับมหภาคและระดับรากหญ้าควบคู่กันไป เพื่อสร้างสมดุลย์และความมั่นคงทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน รัฐบาลจึงได้จัดให้มีโครงการหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ เพื่อให้แต่ละชุมชนนำภูมิปัญญาท้องถิ่นมาใช้ในการพัฒนา สินค้า โดยรัฐจะให้ความช่วยเหลือในด้านความรู้สมัยใหม่ และการบริหารจัดการเพื่อเชื่อมโยงสินค้าจากชุมชนสู่ตลาด ทั้งในและต่างประเทศด้วยระบบร้านค้าเครือข่าย
และอินเตอร์เน็ต
กว่าร้อยละ 50 ของสินค้า OTOP เป็นผลิตภัณฑ์อาหาร เทคโนโลยีชีวภาพจึงเป็นเทคโนโลยีที่มีบทบาทสำคัญมาก
ในการพัฒนาสินค้า OTOP ทั้งนี้เทคโนโลยีที่ผลิตภัณฑ์ชุมชนต้องการเป็นเทคโนโลยีที่ชุมชนสามรถใช้ได้เอง
เช่น การหมัก การบรรจุหีบห่อ การย้อมด้วยสีธรรมชาติ เป็นต้น และสิ่งที่สำคัญอีกประการ
คือ การควบคุมกระบวนการผลิตให้มีความสะอาด ปลอดภัย และได้มาตรฐาน แม้การพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อผลิตภัณฑ์ชุมชนสามารถกระทำได้โดยไม่ยากนัก หากแต่ สิ่งที่สำคัญกว่าคือกระบวนการนำเทคโนโลยีไปสู่ชุมชนให้เป็นที่ยอมรับจะต้องกระทำโดยความประณีต และระมัดระวัง เนื่องจากบางผลิตภัณฑ์มีความเกี่ยวข้องกับภูมิปัญญาท้องถิ่น ซึ่งถือเป็นวิถีชีวิตของ
ชุมชนและเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนมาก

5. ระบบสารสนเทศและการสื่อสาร
เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT) นับเป็นสาขาดเทคโนโลยีหลักที่จำเป็นในการพัฒนาและ
เพิ่มคุณภาพของชีวิต โดยจะต้องรีบเร่งกระจายโครงสร้างพื้นฐานและเครือข่ายโทรคมนาคม
และพัฒนาการศึกษาแบบ e – learning , e Education เพื่อขยายโอกาสในการศึกษาของเด็กและเยาวชนทั่วประเทศ เครือข่ายโทรคมนาคมที่ขยายกว้างไกลนี้จะเป็นการขยายโอกาสในการเข้าถึงบริการแบบ
on – line เช่น e – Government , e – Health ด้วย และในขณะเดียวกัน จะต้องมีการพัฒนาเทคโนโลยีด้านพลังงาน
เช่น Solar cell , fuel cell เพื่อให้ชุมชนทั้งประเทศไทยได้มีพลังงานที่สะอาดใช้โดยทั่วถึงกันและสามารถ
ใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าต่าง ๆ เพื่ออำนวยความสะดวกในการดำรงชีวิต และการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารผ่านสื่อต่าง ๆ
เช่น โทรทัศน์ อินเตอร์เน็ต เป็นต้น ในด้านการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมจะต้องให้ความสำคัญต่อการ
พัฒนาวัสดุนำกลับมาใช้ใหม่ (Recyclable material) เพื่อบรรเทาปัญหาการจัดการขยะและส่งเสริมการใช้
เทคโนโลยีสะอาดในกระบวนการผลิต

ประโยชน์ของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

สิปปนนท์ เกตุทัต (ม.ป.ป. : 80) กล่าวว่า วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมีความจำเป็นและเพิ่มความสำคัญเป็นลำดับมากขึ้นต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์แม้ว่าการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจะเอื้ออำนวยในด้านชีวิตความเป็นอยู่ที่สะดวกสบายและอายุยืนนานขึ้น หากการการนำวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาใช้ โดยมิได้พิจารณาอย่างสุขุมรอบคอบและกว้างไกลแล้ว ย่อมเกิดผลเสียต่อสภาพแวดล้อมและสมดุลทางธรรมชาติอย่างมหันต์ เมื่อมองไปข้างหน้า วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีควรช่วยเตรียมให้มนุษย์มีความพร้อมที่จะเผชิญกับปัจจัยพื้นฐานในการดำรงชีวิต และปัญหาอันเกี่ยวเนื่องกับมนุษย์และสิ่งแวดล้อม ข้อที่พึงตระหนัก คือ การดำรงชีวิตของมนุษย์มิใช่เพื่อกอบโกยผลประโยชน์จากธรรมชาติ หรือการทำตนอยู่เหนือธรรมชาติ หากแต่มนุษย์ต้องเรียนรู้ธรรมชาติที่จะดำรงชีวิตอย่างสันติร่วมกับผู้อื่น กับสังคมวัฒนธรรม และกับธรรมชาติ
ดังนั้นในชีวิตประจำวันของมนุษย์ทุกคน จะต้องเกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอยู่ตลอดเวลา เกี่ยวข้องกับวิวัฒนาการทางด้านความรู้ ทำให้มีการเปลี่ยนแปลงหลาย ๆ ด้าน จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะทำให้บุคคลในสังคม รู้จักวิธีการคิดอย่างมีเหตุผล มีวิธีการแก้ปัญหาต่าง ๆ ที่มีระบบ อันจะส่งผลให้เกิดการพัฒนาด้านสติปัญญาซึ่งวิธีการคิดนั้นเป็นวิธีเดียวกันกับที่ใช้อยู่ในกระบวนการแสวงหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์
สุเทพ อุสาหะ (2526 : 10-11) กล่าวว่า คงเป็นที่ยอมรับกันว่า ขณะนี้เราอยู่ในยุคที่วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเจริญสูงสุด ทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับตัวเรานั้นเป็นผลมาจากการพัฒนาของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีทั้งสิ้น อย่างไรก็ตามอิทธิพลของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีส่วนใหญ่ที่มีต่อเศรษฐกิจ และการเสาะแสวงหาความรู้นั้นยังไม่เป็นที่เด่นชัดสำหรับประชาชนส่วนใหญ่ เฮอร์ด (Hurd. 1970 : 13-15) ได้ชี้ให้เห็นว่า ประชาชนส่วนใหญ่ได้รับข้อมูลผิดพลาดเกี่ยวกับความหมาย และอิทธิพลของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ที่มีต่อ วัตถุ สังคม และชีวิตความเป็นอยู่ ดังนั้นการให้ความรู้หรือการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ จะเป็นการเตรียมคนเพื่อแก้ปัญหา ต่าง ๆ ในสังคมที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในอนาคต และความเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ จะยิ่งเกิดขึ้นมากเรื่อย ๆ ขณะเดียวกันวิทยาศาสตร์ก็จะเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องกับสังคมมากขึ้น จึงเป็นสิ่งที่แน่นอนว่าความสำคัญของวิชาวิทยาศาสตร์ในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของการให้การศึกษาพื้นฐานทั่วไป (general education) จะมีมากขึ้น
จะเห็นได้ว่าทุกคนจำเป็นที่จะต้องเรียนรู้เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ซึ่งระดับของการศึกษาของแต่ละคนนั้นย่อมขึ้นอยู่กับเป้าหมายและความสนใจของแต่ละบุคคล ดังที่ เอกิน (Agin. 1974 : 404) ได้ชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นของบุคคลกลุ่มต่าง ๆ ที่ต้องเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีตามภาพที่ 3

ภาพที่ 3 แสดงการแยกสาขาของวิทยาศาสตร์
1. เตรียมนักวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในสาขาต่าง ๆ
2. ให้พื้นฐานของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำหรับผู้ที่จะประกอบอาชีพ หรือ
วิชาชีพที่อาศัยเทคโนโลยี
3. ให้การศึกษาพื้นฐานเพื่อเป็นพลเมืองที่มีประสิทธิภาพ

ภาพที่ 3 ระดับของกลุ่มบุคคลที่เรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

จากภาพที่ 3 จะเห็นได้ว่าพลเมืองกลุ่มที่ 3 ซึ่งเป็นกลุ่มใหญ่สุดมีความจำเป็นต้องศึกษาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพื่อจะเป็นพลเมืองที่มีประสิทธิภาพ พร้อมกับนำวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไปใช้ในการแก้ปัญหาในชีวิตประจำวันของพวกเขา ซึ่งประโยชน์ของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สรุปได้พอสังเขป ดังนี้คือ
ประโยชน์ของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี1. การแก้ปัญหาในชีวิตประจำวัน ในชีวิตประจำวันเมื่อมีปัญหา หรือข้อสงสัย
อย่างใดเกิดขึ้นเราต้องใช้เหตุผลเพื่อหาคำตอบหรือแก้ข้อสงสัยต่าง ๆ เสมอมา ในชีวิตประจำวันเราคงจะประสบกับปัญหาในด้านต่าง ๆ ทั้งกับตัวเราเองหรือบุคคลใกล้ชิด การพยายามหาข้อมูล ต่าง ๆ เพื่อหาสาเหตุของปัญหานั้นอย่างมีเหตุผล สามารถทำให้เราแก้ปัญหาได้อย่างถูกต้อง
2. วิเคราะห์ปัญหาในสถานการณ์ที่เป็นจริงในชีวิตประจำวันเพื่อการแก้ปัญหา
วิทยาศาสตร์นำบุคคลไปสู่การมีทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์และเจตคติทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งจะเป็นกระบวนการของการค้นพบสิ่งใหม่ ๆ เพื่อนำไปสู่คุณภาพชีวิตที่ดีและการแก้ปัญหา
3. สร้างคนให้มีกระบวนการคิด มีเหตุมีผล ไม่หลงงมงายในสิ่งที่ไร้สาระ
กระบวนการทางวิทยาศาสตร์เป็นวิธีการที่ยืดหยุ่นที่แต่ละบุคคลจะปรับเอาไปใช้แก้ปัญหาของตน แม้ว่ามันจะชื่อว่ากระบวนการทางวิทยาศาสตร์แต่จริง ๆ แล้ว ศาสตร์ไหน ๆ ก็ใช้ได้ทั้งนั้น เรื่องการสังเกต การจดบันทึกและแปรความ การพยากรณ์ สร้างคนให้มีเหตุผล ไม่ให้เชื่อถือโชคลางหรือหลงงมงาย เหล่านี้นำไปใช้ได้ทั้งหมด
ลิขิต ธีรเวคิน (2535 : 10) กล่าวว่า ประเทศใดก็ตามจะพัฒนาไปเป็นประเทศมหาอำนาจ จะต้องประกอบด้วยตัวแปรสำคัญ ๆ ห้าตัวแปร และในห้าตัวแปรนั้นตัวแปรสำคัญหนึ่งคือการมีจิตวิทยาอันทันสมัยหมายความว่ามีการคิดแบบมีเหตุมีผล ไม่หลงงมงาย ไม่เชื่ออะไรที่เกิดจากศรัทธาแต่อย่างเดียวพูดง่าย ๆ คือ "มีจิตวิทยาศาสตร์"
ชัยวัฒน์ คุประตกุล (2528 : 87-88) ได้กล่าวถึงบทบาทของวิทยาศาสตร์ที่สร้างคนให้มีมานะอดทน เป็นคนไม่หลงงมงาย เป็นคนมีเหตุผล เป็นคนที่ไม่ถูกชักจูงไปในทางเสื่อมทรามได้ง่าย ๆ นอกจากนี้วิทยาศาสตร์ยังช่วยให้สมาชิกในสังคม ตระหนักถึงความสำคัญของการทำงานเป็นระบบเป็นทีมหรือเป็นหมู่คณะ ตระหนักถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับสังคมส่วนรวมจากพฤติกรรม หรือการกระทำของสมาชิกแม้เพียงคนเดียวหรือกลุ่มหนึ่ง
จากที่กล่าวมา จะเห็นได้ว่ามีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องนำวิทยาศาสตร์มาใช้เพื่อสร้างคนให้มีเหตุผล มีความเชื่อมั่นในตนเองมากขึ้น เมื่อมีความเชื่อมั่นในตนเองมากขึ้น ความเชื่อ งมงาย ความเชื่อในโชคลาง ชะตาราศี ดวง และเรื่องพรหมลิขิตจะจางหายไป ความลุ่มหลงในการพนัน หวังรวยทางลัด และการวิเคราะห์สภาพการณ์หรือปัญหาในชีวิตประจำวันก็จะอยู่ในแนวของเหตุและผล ตามหลักตรรกวิทยาศาสตร์ เป็นคุณลักษณะของพลเมืองในสังคมประชาธิปไตย เป็นสังคมที่เราทุกคนต้องการ เป็นสังคมที่นำมาซึ่งความมีสิทธิ เสรีภาพ อย่างมีเหตุมีผล
4. ปรับปรุงคุณภาพของชีวิต วิทยาศาสตร์จะเกี่ยวพันกับมนุษย์ทุกคนตลอดชีพ
ในชีวิตประจำวัน ตั้งแต่ลืมตาตื่นจนกระทั่งเข้านอนจะเกี่ยวพันกับวิทยาศาสตร์ คงจะไม่มีใครปฏิเสธได้ว่าวิทยาศาสตร์ได้นำความสุข ความสะดวกสบายมาสู่การดำรงชีวิตในเรื่องต่าง ๆ ต่อไปนี้
4.1 อาหาร ได้รู้จักวิธีรักษาอาหารไม่ให้บูดเสีย รู้จักคุณค่าของอาหารว่า
มนุษย์เราต้องการ แป้ง ไขมัน โปรตีน วิตามิน แร่ธาตุต่าง ๆ อย่างเพียงพอได้อย่างไรและคิดประดิษฐ์อาหารขึ้นได้ เสาะแสวงหาอาหารให้พอเลี้ยงพลโลกจากแหล่งที่มาจากทะเล อากาศ บนพื้นโลก จากทะเล ได้ผลิตเกลือรับประทาน (NaCI) ผลิตไอโอดีนจากสาหร่ายทะเล ซึ่งเอามาทำวุ้นและแยกไอโอดีนออก ได้โปรตีนจากสัตว์และพืชเช่น Algae ในทะเลนำมาเป็นอาหาร
4.2 เครื่องนุ่งหุ่ม ได้รู้จักสีย้อมผ้า สมัยก่อนมักใช้สีจากพืชมาย้อมผ้า แต่พอถึง ค.ศ. 1856 William Perkin ได้เริ่มใช้สีที่เตรียมจากถ่านหินหรือสีสังเคราะห์ นอกจากนั้นนักเคมียังรู้จักวิธีทำไหมเทียม ทำปลาสติก ทำไนลอน เพื่อทำเสื้อผ้าสวย ๆ ใช้ เช่น และสารสังเคราะห์ใช้แทนยาง เป็นต้น
4.3 สุขภาพอนามัย แต่ก่อนนี้อัตราคนตายมีมาก แต่ต่อมาจนปัจจุบันอัตรานั้นได้ลดน้อยลงไป ทั้งนี้เพราะกินอาหารดีขึ้น มีที่อยู่อาศัยและน้ำบริโภคดีขึ้น เช่น น้ำประปาก็ต้องใช้ความรู้ของวิชาเคมีทำให้บริสุทธิ์ โดยฆ่าเชื่อโรคด้วย CI2 ทำให้ฟันแข็งโดยเติมฟลูออไรด์ลงไปในน้ำดื่ม นอกจากนี้ยังมียาใหม่ ๆ ที่ใช้เป็นผลดีเป็นอันมาก เช่น ยาปฏิชีวนะ ยาพวกซัลฟา ยาสำหรับฆ่าเชื้อโรค การต้นพบยาชา (Anaesthetic) ช่วยให้ศัลยกรรมเป็นผลดียิ่งขึ้น การพบคลอโรฟอร์ม โคเคน ก๊าซหัวเราะ อีเทอร์ (ซึ่งเป็นยาชา) ได้ช่วยชีวิตและบรรเทาความปวดทรมานของคนไข้ไว้เป็นอันมาก
4.4 ที่อยู่อาศัยและเครื่องใช้ มีไม้ขีดไฟที่ใช้อยู่ในปัจจุบันนี้ สบู่ หม้อ
เครื่องภาชนะ เครื่องใช้ไม้สอยที่ทำด้วยโลหะและปลาสติก ก๊าซถ่านหิน รถยนต์ น้ำมัน ผงซักฟอก เครื่องก่อสร้าง เช่นเหล็ก เหล็กกล้า Stainless Steel (Fe + Cr) อะลูมิเนียม ซีเมนต์ คอนกรีต กระจกแตกไม่บาด (Nonsplintered glass) ข้อเสือในเครื่องยนต์ก็ใช้ทำด้วย Alloy ของเหล็ก (เหล็กผสมกับมังกานีส) เป็นต้น
4.5 การสังเคราะห์ใช้เทียมของจริง ยางเทียม ไหมเทียม การบูร ยาควินนิน ยารักษาโรค แกรฟไฟต์ ฯลฯ ล้วนแต่เป็นผลิตภัณฑ์ซึ่งทำขึ้นโดยอาศัยวิทยาศาสตร์ทั้งนั้น
4.6 เครื่องอำนวยความบันเทิง เช่น ภาพยนต์ โทรทัศน์ การถ่ายรูป
เป็นต้น เกิดมีขึ้นได้เพราะวิทยาศาสตร์ วิชาเคมีสอนให้รู้จักการถ่ายรูป วิทยุนั้นก็อาศัยความรู้จากวิทยาศาสตร์ กระดาษ หนังสือ ฟุตบอล ลูกเทนนิส ลูกปิงปอง ฯลฯ ล้วนแต่เป็นผลิตพันธุ์ขึ้นมาได้โดยอาศัยมาจากวิทยาศาสตร์ทั้งนั้น (ทองสุข พงศทัตและคณะ. 2525 : 7-8)
เสริมพล รัตสุข (2526 : 12) ได้กล่าวถึงความจำเป็นและเหตุผลที่มนุษย์จำเป็นที่จะต้องนำวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (โดยเฉพาะเทคโนโลยี) มาใช้ คือ
1. มีความต้องการที่จะแก้ปัญหาในการดำรงชีวิตประจำวัน หรือปัญหาในด้าน
การประกอบอาชีพ ทั้งนี้เพื่อปรับปรุงยกระดับฐานะความเป็นอยู่หรือเพื่อแสวงหากำไรในการค้า ตัวอย่างเช่น เจ้าของโรงงานสนใจที่จะนำเทคโนโลยีใหม่เข้ามาใช้ เพื่อลดต้นทุนการผลิตและลดปัญหาสิ่งแวดล้อม ชาวนาสนใจที่จะนำก๊าซชีวภาพมาใช้เพราะต้องการทุ่นเวลาในการไปหาฟืน ชาวนาสนใจที่จะใช้รถไถนาเอนกประสงค์เพราะต้องการเพิ่มผลผลิต เป็นต้น
2. เล็งเห็นโอกาสในการลงทุน (investment opportunity) เช่นคาดว่าจะมีตลาด
มากสำหรับกะทิสำเร็จรูป จึงต้องการเทคโนโลยีการผลิตกะทิสำเร็จรูป ฯลฯ
3. เตรียมการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี ในอนาคตคาดว่าราคาน้ำมันที่สูงขึ้น
ทุกปีจะทำให้เกิดความต้องการเครื่องยนต์ ที่ขับเคลื่อนด้วยก๊าซจากถ่านหรือไม้ (wood gasifier) มากขึ้นจึงต้องการพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตก๊าซจากถ่านหรือไม้
4. การแข่งขันในด้านการตลาดทำให้ต้องเร่งพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อลดต้นทุนการ
ผลิตพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ปรับปรุงคุณภาพ ฯลฯ
ในปัจจุบันจึงกล่าวได้ว่า วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมีความสำคัญ และมีความจำเป็นต่อการพัฒนาในด้านต่าง ๆ ของประเทศ มีขอบเขตการใช้อย่างกว้างขวาง มีผลให้ชิวิตมนุษย์และสิ่งแวดล้อมเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม มนุษย์มีความเป็นอยู่ที่สุขสบายขึ้น โรคภัยลดลงหรือสามารถแก้ปัญหาได้ การเดินทางและการติดต่อสะดวกและรวดเร็วขึ้น การศึกษาก้าวหน้ากว่าอดีตมากมายนัก ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นผลมาจากวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแทบทั้งสิ้น
สุดท้าย โชว์วอลเตอร์(showalter. 1974 : 2) ได้กล่าวถึงคุณสมบัติของการเป็นผู้รู้วิทยาศาสตร์(scientific literacy) ซึ่งสามารถนำมาเชื่อมโยงกับประโยชน์ของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีได้ ดังนี้คือ
1. เข้าใจธรรมชาติความรู้ทางวิทยาศาสตร์
2. สามารถนำมโนทัศน์ หลักสำคัญ กฎ และทฤษฎีที่เหมาะสมไปใช้อย่างถูกต้อง
3. สามารถใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ในการแก้ปัญหา การตัดสินใจ และ
การศึกษาเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมได้อย่างดี
4. ยึดมั่นในค่านิยมที่มีรากฐานมาจากวิทยาศาสตร์
5. เข้าใจและซาบซึ่งในความสัมพันธ์ระหว่างวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและ
สังคม
6. พัฒนาความคิดที่แปลกและน่าพอใจ เกี่ยวกับสังคมได้มากว่าคนอื่น อันเป็น
ผลจากการศึกษาวิทยาศาสตร์ และใฝ่ใจศึกษาอยู่ตลอดเวลา
7. ได้พัฒนาทักษะต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการทดลอง

ผลกระทบของเทคโนโลยี

ในภาพรวมของเทคโนโลยีทั้งหมด
วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมีความจำเป็นและเพิ่มความสำคัญเป็นลำดับมากขึ้นต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์แม้ว่าการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจะเอื้ออำนวยในด้านชีวิตความเป็นอยู่ที่สะดวกสบายและอายุยืนนานขึ้น หากการการนำวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาใช้ โดยมิได้พิจารณาอย่างสุขุมรอบคอบและกว้างไกลแล้ว ย่อมเกิดผลเสียต่อสภาพแวดล้อมและสมดุลทางธรรมชาติอย่างมหันต์ เมื่อมองไปข้างหน้า วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีควรช่วยเตรียมให้มนุษย์มีความพร้อมที่จะเผชิญกับปัจจัยพื้นฐานในการดำรงชีวิต และปัญหาอันเกี่ยวเนื่องกับมนุษย์และสิ่งแวดล้อม ข้อที่พึงตระหนัก คือ การดำรงชีวิตของมนุษย์มิใช่เพื่อกอบโกยผลประโยชน์จากธรรมชาติ หรือการทำตนอยู่เหนือธรรมชาติ หากแต่มนุษย์ต้องเรียนรู้ธรรมชาติที่จะดำรงชีวิตอย่างสันติร่วมกับผู้อื่น กับสังคมวัฒนธรรม และกับธรรมชาติ
ดังนั้นในชีวิตประจำวันของมนุษย์ทุกคน จะต้องเกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอยู่ตลอดเวลา เกี่ยวข้องกับวิวัฒนาการทางด้านความรู้ ทำให้มีการเปลี่ยนแปลงหลาย ๆ ด้าน จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะทำให้บุคคลในสังคม รู้จักวิธีการคิดอย่างมีเหตุผล มีวิธีการแก้ปัญหาต่าง ๆ ที่มีระบบ อันจะส่งผลให้เกิดการพัฒนาด้านสติปัญญาซึ่งวิธีการคิดนั้นเป็นวิธีเดียวกันกับที่ใช้อยู่ในกระบวนการแสวงหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์
ในการใช้เทคโนโลยีสามารถที่จะก่อให้เกิดผลกระทบได้ทั้งด้านที่มีประโยชน์และด้านที่เป็นผลเสีย
1. ด้านที่เป็นประโยชน์ ผลของการใช้เทคโนโลยีได้ทำให้เกิดการพัฒนาในด้านต่าง ๆ อันมีประโยชน์ต่อมนุษย์มากมาย เช่น อุปกรณ์สำหรับใช้ในการตรวจและรักษาโรค โทรเลข โทรศัพท์ อุปกรณ์การสื่อสารต่าง ๆ การค้นพบคอมพิวเตอร์และการใช้เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ช่วยในการปฏิบัติงานของอุปกรณ์ต่าง ๆ ทางด้านการแพทย์ การสำรวจ การประมง การควบคุมอากาศยานและยานพาหนะ การใช้คอมพิวเตอร์ ควบคุมอุปกรณ์ต่าง ๆ ภายในสถานประกอบการอุตสาหกรรมและการใช้เทคโนโลยีที่เรียกว่า เทคโนโลยีสารสนเทศน์ (Information system) การพัฒนาระบบการชลประทานและการส่งน้ำเพื่อการเพาะปลูก การผลิตปุ๋ยเคมีและปุ๋ยชีวภาพ การปลูกพืช การเลี้ยงสัตว์ การทำประมง และการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ การพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อการผลิตและการถนอมอาหาร และการใช้เทคโนโลยีในการผลิตเสื้อผ้าและเครื่องนุ่มห่ม
2. ด้านความเสียหายหรือสูญเสีย
2.1 การเกิดสภาพการเน่าเสียของน้ำ
2.2 การเกิดปัญหาขยะและสิ่งปฏิกูล
- กลิ่นเน่าเหม็น
- เป็นแหล่งเพาะพันธุ์เชื้อโรคและพาหะนำเชื้อโรค
- เกิดสภาพที่ไม่น่าดูและไม่พึงปรารถนา
- เป็นแหล่งสะสมสารพิษ
2.3 การเกิดปัญหาการแพร่กระจายของสารเคมีที่เป็นสารพิษ
2.4 การเกิดปัญหาการแพร่กระจายของเชื้อโรคและพาหะนำโรค
2.5 การเกิดปัญหาโรคภัยไข้เจ็บความพิการหรือมีสุขภาพร่างกายที่อ่อนแอของประชากร
- ความเครียด
- เสียงที่ดังเกินไป
- ความผิดพลาดจากการปฏิบัติงานของเครื่องจักร เครื่องมือ และอุปกรณ์ต่าง ๆ
- การแพร่ระบาดของโรค
- การได้รับสารพิษ
2.6 การเกิดปัญหาการลดลงของทรัพยากรต่างๆ
- การลดลงของทรัพยากรป่าไม้
- การลดลงของทรัพยากรป่าชายเลน
- การลดลงของทรัพยากรสัตว์น้ำ
การป้องกันและแก้ไขปัญหา
การป้องกันและแก้ไขปัญหาผลกระทบจากเทคโนโลยีเป็นปัญหาที่แก้ไขได้ยากและได้หลาย ๆ ครั้ง การแก้ไขปัญหาจะต้องมีการประยุกต์ให้มีความเหมาะสมกับแต่ละปัญหาที่เกิดขึ้น ซึ่งอาจต้องมีวิธีการที่แตกต่างกันไป เช่น
1. การทำให้รู้จักคุณค่า และมีปริมาณจำกัดของทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
2. การรู้จักการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ เช่น การทำให้เกิดมูลค่าเพิ่ม การใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างประหยัด การพัฒนาทรัพยากรธรรมชาติ
3. การรู้จักการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม เช่น การเลือกดำเนินงานเพื่อการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม การพยายามหาวิธีการเพิ่มผลกระทบด้านที่เป็นประโยชน์ การพยายามเลือกใช้วิธีการที่ก่อให้เกิดผลกระทบในด้านความเสียหาย
4. การควบคุม การเสนอแนะ และการชักชวน เป็นการดำเนินงานโดยหน่วยงานของรัฐบาล องค์การ บริษัท นักวิชาการและบุคคลที่มีความรู้ในเรื่องที่เกี่ยวข้อง เช่น
- การควบคุม อาจเกิดจาก กฎหมาย ระเบียบ และกฎเกณฑ์ต่าง ๆ
- การเสนอแนะ เป็นการเสนอแนะข้อเสนอต่างๆ เพื่อการป้องกันและแก้ไขปัญหาผลกระทบของเทคโนโลยี เช่น ตามอนุกรม ISO 14000 อนุกรม ISO18000 และอนุกรม ISO 9000
- การชักชวน เช่น การเผยแพร่ความรู้
5. การเผยแพร่ความรู้ เป็นการดำเนินงานเกี่ยวกับการเผยแพร่ความรู้ในเรื่องทั่ว ๆ ไป เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม ผลกระทบของเทคโนโลยีต่อมนุษย์และสิ่งแวดล้อม การดำเนินงานเพื่อการป้องกันและแก้ไขปัญหาผลกระทบของเทคโนโลยีโดยทั่วไป และการป้องกันและแก้ไขปัญหาผลกระทบของเทคโนโลยี
6. การศึกษา วิจัย ค้นคว้า และทดลอง เป็นการดำเนินงานเพื่อให้ได้รับความรู้สำหรับนำมาใช้ในการดำเนินงานต่าง ๆ เช่น การศึกษาและวิจัยเพื่อกำหนดมาตรฐานปริมาณของอินทรีย์สารในน้ำทิ้ง ซึ่งจะไม่ก่อให้เกิดสภาพการเน่าเสียของน้ำขึ้น
7. การวางแผน การจัดการ และการประสานงานในการดำเนินงาน เป็นการดำเนินงานเกี่ยวกับการวางแผน การจัดการ และการประสานงานในการดำเนินงาน เนื่องจากการดำเนินงานในเรื่องดังกล่าวนี้มีหน่วยงานและบุคคลต่าง ๆ ที่ทำหน้าที่ในการควบคุมผู้ปฏิบัติงาน ผู้ที่ทำการศึกษา วิจัย ตลอดจนนักวิชาการ

เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
ผลกระทบของเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารต่อมนุษย์และสังคม
บทบาทของเทคโนโลยีการสื่อสารยุคใหม่ คือ การดำเนินธุรกิจ การศึกษา การปกครอง การเมืองภายในประเทศและระหว่างประเทศ ความมั่นคงของประเทศ วัฒนธรรม การพิมพ์และหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ โลกส่วนตัว
ผลกระทบ
1.ผลกระทบด้านกฎหมาย ศีลธรรมและจริยธรรม
- อาชญากรรมบนอินเตอร์เนต
- การพนันบนเครือข่าย
- การแพร่ภาพอนาจารย์บนเครือข่าย
2 ผลกระทบทางบวกและทางลบของเทคโนโลยีสารสนเทศ
มีการใช้งานเทคโนโลยีอย่างกว้างขวาง กลายเป็นยุคแห่งเทคโนโลยีสารสนเทศ หรือยุคข้อมูลข่าวสาร ก่อให้เกิดประโยชน์กับมนุษย์ชาติอย่างมหาศาล นั้นหมายถึงก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง การเปลี่ยนแปลงอะไรก็ตามย่อมมีผลกระทบต่อบุคคล องค์กร หรือสังคม ทั้งนี้สามารถจำแนกผลกระทบทั้งทางบวกปละทางลบของการใช้สารสนเทศได้


นาโนเทคโนโลยี
" นาโนฯ ไม่ใช่มีแต่ข้อดีในเรื่องประสิทธิภาพ แต่อย่าลืมว่าผลิตภัณฑ์นาโนฯ บางชนิดต้องใช้สารเคมีในกระบวนการผลิต ซึ่งบางคนอาจมองว่าเป็นข้อเสีย แต่กรรมวิธีการผลิตนั้นจะต้องมีการควบคุมป้องกันสารเคมีตกค้างเข้าสู่ร่างกาย ในต่างประเทศมีการทำวิจัยเรื่องนี้แล้ว แต่ยังไม่มีรายงานชัดเจนว่า อุตสาหกรรมนาโนฯ มีผลกระทบต่อชีวิตและสิ่งแวดล้อมอย่างไรหรือไม่"
นอกจากนี้หากมองในด้านมืด ถ้ามีคนสามารถสร้างนาโนฯ เป็นอาวุธทำลายล้าง ที่ไม่ใช่ระเบิด แต่เป็นการเจาะจงทำลายหรือสร้างหุ่นยนต์สังหาร ตามล่าเป้าหมายที่สามารถระบุ รูปพรรณสัณฐานได้ จะเกิดอะไรขึ้น
อีกอย่างที่น่าคิดคือ นาโนฯ ในระดับอุตสาหกรรม บางทีการที่มันเล็กมากก็มีโอกาสปนเปื้อนไปกับน้ำเข้าตัวคนได้ ร่างกายอาจไม่รู้วิธีกำจัดมันเพราะมันเล็กมาก... จึงจำเป็นที่จะต้องศึกษาเรียนรู้เรื่องนี้ เพื่อจะได้คิดหาวิธีควบคุมและป้องกันผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นได้ต่อไป
" นาโนฯ เป็นโอกาสที่จะทำให้ชีวิตและสิ่งแวดล้อมดีขึ้นกว่าเดิม แต่ก็ยังมีประเด็นให้คิดพิจารณาอีกมาก ว่าชีวิตแบบไหนล่ะที่เราต้องการ และเป็นที่แน่นอนว่าไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นต่อไปจะต้องเปลี่ยนไป อีกทั้งเรื่องนาโนฯ จะถูกบรรจุไว้ในการศึกษาขั้นพื้นฐานด้วยในอนาคต”


เทคโนโลยีชีวภาพ
บทบาทของเทคโนโลยีชีวภาพ
1. ด้านการแพทย์ เทคโนโลยีชีวภาพเข้ามามีบทบาทในอุตสาหกรรมการแพทย์และการสาธารณสุข ที่สำคัญและเห็นได้ชัดมี 3 ด้านด้วยกันคือ
1.1 การผลิตยา สารปฏิชีวนะเป็นผลผลิตตัวแรกที่ใช้เทคโนโลยีชีวภาพในการผลิตเชิงอุตสาหกรรม
1.2 การผลิตวัคซีน ต้องพึ่งพาอาศัยกระบวนการทางพันธุวิศวกรรมเป็นส่วนใหญ่ โดยทำการตัดต่อยีนส์ที่ใช้ในการผลิตแอนติเจนเอาไปเป็นต้นแบบในการผลิตวัคซีน 1.3 การผลิตสารวินิจฉัยโรค เป็นการใช้เทคโนโลยีชีวภาพในการสร้างแอนติบอดีที่มีความจำเพาะสูงกับแอนติเจน ได้แก่ โมโนโคลนัล แอนติบอดี้ ซึ่งในในการตรวจวินิจฉัยโรค เช่น โมโนโคลนัลแอนติบอดี้ ซึ่งใช้ในการตรวจวินิจฉัยโรคมะเร็งบางชนิด โรคติดเชื้อและโรคหัวใจบางชนิด
1.4 การตรวจวินิจฉัยทางด้านอาชญวิทยา เป็นการใช้เทคโนโลยีชีวภาพเพื่อการตรวจวินิจฉัยทางด้านอาชญวิทยา หรือนิติเวชวิทยา ซึ่งอาจกระทำได้โดยวิธีการที่เรียกว่า “รอยพิมพ์ DNA”
2. ด้านการเกษตร
2.1 ด้านการจัดการสาขาพืช ซึ่งได้นำเทคโนโลยีชีวภาพมาใช้ 4 ทางด้วยกัน คือ
1) การปรับปรุงพันธุ์ เป็นการใช้เทคโนโลยีชีวภาพเพื่อให้ได้ลักษณะพืชตามต้องการ เช่น ความต้านทานโรค ให้ผลผลิตมากขึ้น กระบวนการที่ใช้ คือ พันธุวิศวกรรมและการผสมระหว่างเซล
2) การขยายพันธ์ ได้นำเอาวิธีการทางเทคโนโลยีชีวภาพมาช่วยในการขยายพันธ์ ได้แก่ การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ การผลิตเมล็ดพืชเทียม
3) การอารักขาพืช เป็นการใช้เทคโนโลยีชีวภาพเพื่อช่วยให้พืชพันธุ์ที่ปลูกมีการเจริญเติบโตได้เป็นอย่างดีและมีความสมบูรณ์แข็งแรง เช่น การควบคุมศัตรูพืชโดยชีววิธี ซึ่งเป็นการใช้แบคทีเรียกำจัดหนอนใบผัก
4) การแปรรูปผลผลิตและของเหลือใช้ทางการเกษตร เช่น การแปรรูปจากมันสำปะหลังให้เป็นแอลกอฮอล์
2.2 ด้านการจัดการสัตว์ เป็นการใช้เทคโนโลยีชีวภาพในมาใช้ 4 ทาง คือ
1) การปรับปรุงพันธุ์สัตว์ เป็นการใช้เทคโนโลยีชีวภาพเพื่อให้ได้ลักษณะสัตว์ตามต้องการ ซึ่งใช้เทคนิควิธีการต่าง ๆ เช่น เทคนิคทางพันธุ์วิศวกรรม การผสมเทียม การฝากถ่ายตัวอ่อน
2) การขยายพันธ์ ได้นำเอาวิธีการทางเทคโนโลยีชีวภาพมาช่วยในการขยายพันธ์ ได้แก่ การผสมเทียม การฝากถ่ายตัวอ่อน การสร้างและปรับปรุงสถานที่ให้มีความเหมาะสมกับการผสมพันธุ์ วางไข่และเลี้ยงลูกอ่อน การสร้างและปรับปรุงเครื่องฟักไข่
3) การอารักขาสัตว์ เป็นการใช้เทคโนโลยีชีวภาพเพื่อให้สัตว์ที่เลี้ยงมีการเจริญเติบโตได้เป็นอย่างดีและมีความสมบูรณ์แข็งแรง เช่น การผลิตวัคซีน การผลิตโปรตีน การผลิตยา การผลิตอาหารหลัก การควบคุมศัตรูของสัตว์
4) การแปรรูปผลผลิตและของเหลือใช้ทางการเกษตร เช่น นมสดนำมาใช้ทำเป็นนมผง นมกล่อง เนื้อและปลานำมาใช้ทำเป็ฯเนื้อและปลาเค็ม หมู เนื้อ และไก่ นำมาใช้ทำ เป็นไส้กรอก เป็นต้น
3. ด้านอุตสาหกรรม
ผลผลิตจากอุตสาหกรรมจำนวนมากได้ใช้เทคโนโลยีชีวภาพในการผลิตและการบำบัดมลสาร ซึ่งอาจดำเนินงานได้โดยการใช้เทคนิคหรือวิธีการต่าง ๆ ได้แก่ - การพัฒนาพันธุ์พืช เป็นการพัฒนาพันธุ์พืชเพื่อนำมาใช้เป็นวัตถุดิบในด้านอุตสาหกรรม เช่น การผสมระหว่างเซลของยีสต์ 2 สายพันธุ์ด้วยกัน การผลิตไม้ดอกที่มีดอก สี ลักษณะของดอกแปลก ดอกสามารถบานคงทนอยู่ได้นาน
- การพัฒนาพันธุ์สัตว์ เป็นการพัฒนาพันธุ์สัตว์เพื่อนำมาใช้เป็นวัตถุดิบในด้านอุตสาหกรรม เช่น การปรับปรุงสัตว์พันธ์เนื้อให้มีเนื้อมากและคุณภาพของเนื้อที่ดีขึ้น - การพัฒนาอุตสาหกรรมหมัก เช่น การผลิตอาหาร การผลิตสารปฏิชีวนะ การผลิตปุ๋ยอินทรีย์
4. ด้านการจัดการสิ่งแวดล้อม
เนื่องจากจำนวนประชากรโลกเพิ่มขึ้น ทำให้มีขยะและของเสียปล่อยออกสู่สิ่งแวดล้อมมากขึ้น จึงต้องมีการพัฒนาหาจุลินทรีย์สายพันธุ์ใหม่ที่มีประสิทธิภาพในการย่อยสลายของเสียเพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้ยังต้องอาศัยความรู้ทางด้านวิศวกรรมมาช่วยพัฒนากระบวนการกำจัดของเสีย เช่น การออกแบบบ่อ และเครื่องมือที่ใช้ในการสลายตัวของออกซิเจน
อิทธิพลและผลกระทบที่มีต่อการพัฒนาเทคโนโลยีชีวภาพ
ปัจจัยหลายประการที่มีอิทธิพลต่อการพัฒนาเทคโนโลยีชีวภาพ เช่น
1. ประชากรเพิ่มขึ้น ซึ่งก่อให้เกิดผลกระทบด้านต่าง ๆ เช่น ความต้องการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ ของเสียและสิ่งปฏิกูลมีปริมาณมากขึ้น
2. ด้านเศรษฐกิจ ก่อให้เกิดผลกระทบเช่น การแข่งขันผลิตสินค้าและบริการ บุคคลมีความต้องการความสะดวกสลายและความปลอดภัยเพิ่มขึ้นคู่แข่งของเทคโนโลยีชีวภาพ ได้แก่ เทคนิคการสังเคราะห์สารเคมีต่าง ๆ นอกจากนี้เทคโนโลยีชีวภาพสมัยใหม่ เช่น พันธุวิศวกรรมเป็นวิธีการที่มนุษย์เข้าไปมีบทบาทในการเปลี่ยนแปลงพันธุกรรมที่ธรรมชาติสร้างขึ้นมา ดังนั้นผู้ที่เกี่ยวข้องกับงานทางด้านนี้ควรที่จะต้องมีความระมัดระวังเป็นพิเศษที่จะไม่ทำให้ยีนส์ที่ถูกทำขึ้นมาใหม่กระจายออกสู่สิ่งแวดล้อมและถูกนำมาใช้ในทางที่จะทำให้สังคมของมนุษยชาติไดรับความเดือดร้อน
ผลกระทบที่ใช้เทคโนโลยีชีวภาพในการผลิต มีทั้งหมด 3 ด้าน
1. ด้านสังคม ทำให้ขาดความตระหนักในการใช้เทคโนโลยีให้ถูกต้องและมีผลกระทบต่อชุมชน
2. ด้านสิ่งแวดล้อม ทำให้เกิดมลภาวะต่างๆแก่สิ่งแวดล้อม
3. ด้านเศรษฐกิจ ทำให้มีค่าใช้จ่ายเพิ่มมากขึ้นเนื่องจากการควบคุมการผลิตต้องใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยซึ่งต้องอาศัยคนที่มีความรู้ความสามารถทางด้านเทคโนโลยีสูง ซึ่งต้องจำเป็นต้องจ้างนักวิทยาศาสตร์จากต่างประเทศ
มาควบคุมการผลิต


เทคโนโลยีทางจีโนม
ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
GMO เป็นสิ่งมีชีวิตที่สามารถสืบพันธ์ และแพร่พันธุ์ต่อไปได้ ดังนั้นหากปล่อยจีเอ็มโอออกสู่สิ่งแวดล้อม แล้วมีสิ่งผิดปกติใดๆ เกิดขึ้นจะไม่สามารถเรียกกลับคืนมาได้อีกเลย
- พืช GMO อาจกลายเป็น "พืชพิเศษ" ที่สามารถต่อสู้เพื่อดำรงชีวิตได้เหนือกว่าพืชธรรมชาติ และสามารถ ทำลาย พืชธรรมชาติและระบบนิเวศน์
- การวิจัยพบว่า พืช GMO บางชนิดสร้างขึ้นเพื่อผลิตยาฆ่าแมลงได้ด้วยตัวเองนั้น มีอันตราย ต่อตัวอ่อน ของผีเสื้อโมนาร์ค แมลงเต่าทอง ทั้งยังมีผลกระทบต่อแมลงที่มีประโยชน์อีกมากมาย นอกจากนี้เกสรของพืช GMO บางชนิดที่ผลิตสารฆ่าแมลงได้ด้วยตัวเอง ยังเป็นอันตรายกับผึ้ง ซึ่งเป็นสัตว์ ที่มีประโยชน์ ตามธรรมชาติ
- จนกระทั่งถึงตอนนี้ พบว่าสิ่งมีชีวิตดัดแปลงพันธุกรรมส่วนมากที่เพาะปลูกกันอยู่ ต้องใช้ควบคู่ กับ ยากำจัดวัชพืช ที่มีพลังสูง ซึ่งมันหมายถึงว่า เมื่อไรที่เกษตรกรปลูกถั่วเหลือง GMO ที่ทนทานต่อยาฆ่าหญ้า ราวด์อัพเร็ดดี้ เกษตรกรก็ต้องฉีดยาฆ่าแมลงราวด์อัพเร็ดดี้
ถั่วเหลือง GMO นั้นจะทนทานและมีชีวิตอยู่ แต่ว่าสิ่งมีชีวิตอื่นๆที่อยู่บริเวณนั้นจะตาย เท่ากับว่า เป็นการทำลาย แหล่งอาหารของแมลงและสัตว์อีกมากมายที่อาศัยพืชเหล่านั้นในการดำรงชีวิต และเป็นการทำลายระบบนิเวศน์ที่มีอยู่ตามธรรมชาติ แต่ถึงอย่างไรก็ตามยังไม่พบหลักฐานทางวิทยาศาสตร์หรือข้อมูลทางการแพทย์ ที่บ่งชี้ว่าการรับประทานอาหารที่มีส่วนประกอบเป็นจีเอ็มโอ จะทำให้พันธุกรรมของมนุษย์เปลี่ยนเนื่องจากในความเป็นจริงเมื่อมนุษย์บริโภคอาหารที่มีจีเอ็มโอ ส่วนประกอบทั้งหมดในอาหารจะถูกย่อยสลายโดยระบบย่อยอาหารของมนุษย์เช่นเดียวกับอาหารที่ไม่มีจีเอ็มโอ สำหรับในประเทศไทยเราก็มีหน่วยงานตรวจสอบความปลอดภัยเกี่ยวกับผลผลิตอาหารจากจีเอ็มโอนั่นก็คือ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) โดยมีมาตรการความปลอดภัยของอาหารทุกชนิด รวมถึงอาหารจีเอ็มโอ โดยมาตรการความปลอดภัยคืออาหารที่มีจีเอ็มโอเป็นส่วนประกอบจะต้องผ่านการพิจารณาประเมินความปลอดภัยอย่างเข้มงวด โดยผู้เชี่ยวชาญก่อน จึงสามารถจำหน่ายในเชิงพาณิชย์ได้ นอกจากนี้ อย. ยังได้ออกประกาศกระทรวงสาธารณสุข (ฉบับที่251) พ.ศ. 2545 เรื่องการแสดงฉลากอาหารที่ได้จากเทคนิคการดัดแปรพันธุกรรมหรือพันธุวิศวกรรมเพื่อเป็นการให้ข้อมูลแก่ผู้บริโภค ส่วนหน่วยงานในประเทศไทยที่ทำหน้าที่ตรวจสอบจีเอ็มโอในผลิตภัณฑ์อาหารได้แก่ห้องปฏิบัติการดีเอ็นเอเทคโนโลยี ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์และสถาบันอาหาร
การพิจารณาว่าจีเอ็มโอปลอดภัยต่อผู้บริโภคและ/หรือสิ่งแวดล้อมหรือไม่นั้น จะต้องผ่านการทดสอบหลายด้านเพื่อให้ได้ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ที่เชื่อถือได้ เนื่องจากสิ่งมีชีวิตแต่ละชนิดมีความหลากหลายทางพันธุกรรม และมีบทบาทในสิ่งแวดล้อมที่แตกต่างกันไป
และก่อนที่ผู้ผลิตรายใดจะนำจีเอ็มโอ หรือผลผลิตจากจีเอ็มโอแต่ละชนิดออกไปสู่ผู้บริโภคได้นั้น จะต้องได้รับการประเมินความปลอดภัยจากหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ต้องอาศัยผู้ทรงคุณวุฒิในแต่ละสาขาเพื่อให้มั่นใจว่าผลิตภัณฑ์นั้นๆ มีความปลอดภัยเทียบเท่ากับผลิตภัณฑ์ในลักษณะเดียวกันที่มีอยู่แล้วในธรรมชาติ ดังนั้นจึงถือได้ว่าผลิตภัณฑ์จีเอ็มโอทุกชนิด ทั้งที่นำมาบริโภคเป็นอาหาร หรือนำมาปลูกเพื่อจำหน่ายในเชิงพาณิชย์ มีความปลอดภัย
ผลกระทบต่อมนุษย์ สังคมและธรรมชาติ
ข้อใหญ่ๆ คือ ความปลอดภัยต่อสุขภาพของประชาชนทั่วไป และผู้บริโภค และผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
ในด้านความปลอดภัยต่อประชาชนทั่วไปและผู้บริโภคนั้น ต้องนึกถึงความเป็นไปได้ที่ สิ่งมีชีวิตข้ามพันธุ์ เช่น เชื้อโรคที่ได้รับยีนใหม่ๆ เข้าไป โดยบังเอิญหรือจงใจก็แล้วแต่จะกระจาย ออกไปเป็นภัยต่อมนุษย์
ความเสี่ยงในการนำพืชข้ามพันธุ์มาใช้ ตัวอย่างเช่น พืชที่มียีนต้านแมลงอยู่ ข้อดี คือ เกษตรกรจะไม่ต้องใช้สารเคมีฆ่าแมลง ซึ่งอาจมีพิษต่อ สิ่งแวดล้อมและต่อสุขภาพของเกษตรกร ข้อเสีย ก็คือ หลายคนเป็นห่วงว่า ยีนดังกล่าวอาจมี ผลกระทบที่ไม่ต้องการ เช่ น
ไปทำอันตรายต่อแมลงที่เป็นประโยชน์ประเภทผึ้งหรือตัว
กล่าวโดยรวมแล้ว เทคโนโลยีชีวภาพแผนใหม่ทรงพลังสูง และมีศักยภาพมากต่อการส่งเสริมการเกษตร และ อุตสาหกรรม เกินกว่าที่จะปฏิเสธเสียแต่ต้นเพราะกลัวในสิ่งที่ไม่รู้
อย่างไรก็ดี ผู้บริโภคจะต้อง ได้รับข้อมูลที่ถูกที่ควรการติดฉลากอาหารที่มาจากสิ่งมีชีวิตข้ามพันธุ์นั้นเป็นสิ่งที่ควรทำทำนองเดียวกับอาหารฉายรังสี ที่เคยมีผู้เป็นห่วงว่าจะมีอันตรายต่อผู้บริโภค การติดฉลากระบุว่า เป็นอาหารฉายรังสี ทำให้ผู้บริโภคมีสิทธิ์เลือก
หากผู้บริโภคมีข้อมูลและทางเลือก ปัญหาก็จะค่อยๆ หมดไป
ผลกระทบที่เกิดจากการผลิต Lysozyme , Antimicrobial peptide , Proteome
มนุษย์ ทำให้เกิดความสะดวกรวดเร็วด้านการแพทย์และการรักษาพยาบาล
สัตว์ ทำให้เกิดการผลิตยาตัวใหม่ที่ใช้ได้ในสัตว์มากชนิดกว่าเดิม
พืช ทำให้สามารถผลิตพืชที่ทนทานต่อสภาพดินฟ้าอากาศ
สิ่งแวดล้อม สารเคมีที่ใช้ผลิตสามารถสลายตัวเองได้ จึงไม่เกิดสารพิษตกค้าง

เปรียบเทียบข้อดีข้อเสียของเทคโนโลยีเสมือน (Virtualization Technology)

เทคโนโลยีเสมือน เป็นเทคโนโลยีที่สามารถทำให้เครื่องแม่ข่าย (Server) หนึ่งเครื่อง สามารถมีระบบปฏิบัติการ (Operating System: OS) หรือระบบเสมือน (Virtual System) อยู่ภายในเครื่องแม่ข่าย ได้มากกว่าหนึ่งระบบปฏิบัติการ โดยใช้วิธีการสร้างชั้น (Layer) ของการเชื่อมต่อระหว่างอุปกรณ์ทางกายภาพ (Hardware) กับระบบปฏิบัติการ ซึ่งเรียกว่า Hypervisor เพื่อทำหน้าที่บริหารจัดการให้ระบบปฏิบัติการหลายๆ ตัวในเครื่องสามารถใช้งานทรัพยากรต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ


ข้อเสีย
1. การใช้งานเครื่องเพียงเครื่องเดียว กรณีเกิดอุปกรณ์ เสียหาย มีผลทำให้ไม่สามารถให้บริการได้ ซึ่งจะต้องมีการซื้อเครื่อง อย่างน้อย สองเครื่อง เพื่อเป็นระบบสำรอง
2. เสียทรัพยากรบางส่วนให้กับระบบ ของเทคโนโลยีเสมือน
3. เทคโนโลยีเสมือนยังไม่สนับสนุนอุปกรณ์ที่มีขายภายในท้องตลอดทั้งหมด จะต้องตรวจสอบจากบริษัทเจ้าของระบบเทคโนโลยีเสมือนว่าอุปกรณ์ใดที่สามารถใช้งานได้บ้าง
4. เป็นเทคโนโลยีที่อาจจะใหม่ในสายตาคนส่วนใหญ่ จึงทำให้การใช้งานเป็นไปได้ยากและก็กลัวที่จะเปลี่ยนแปลงกัน
5. ผู้มีความรู้เรื่องระบบเสมือนภายในประเทศไทย ณ. เวลา นี้ ยังมีไม่มาก การแก้ปัญหาต่างๆ จะต้องพึ่งพาจากต่างประเทศเป็นหลัก แต่ ก็ไม่น่าเกินความสามารถคนไทย นะครับ
6. ถึงจะมีให้ใช้ฟรีก็ตามแต่ถ้าต้องการ คุณสมบัติพิเศษ ต้องมีการเสียเงินเพื่อซื้อหามาใช้งาน
7. ราคาของลิขสิทธิ์แพงพอตัวเหมือนกัน

ข้อดี
1. ลดการใช้เครื่องแม่ข่ายลงได้อย่างมาก กรณีใช้ใน ศุนย์ข้อมูลขนาดใหญ่ หรือไม่ว่าจะเป็นบริษัทไม่ใหญ่ก็ตาม
2. สามารถเพิ่มเครื่องที่อยู่ภายในได้ตามต้องการจนกว่าเครื่องจะรับไม่ได้ แค่คุณมีเงินซื้อ HDD RAM และที่สำคัญก็คือลิขสิทธิ์ของระบบปฏิบัติการ ยกเว้น คุณใช้ของฟรี
3. ช่วยลดการบริหารจัดการเกี่ยวกับพื้นที่ในการจัดเก็บและดูแลเครื่องแม่ข่ายลงได้อย่างมาก ห้องเล็กๆอาจจะมีเครื่องแม่ข่ายอยู่เป็นร้อยก็ได้ นะ
4. ลดการใช้ระบบปรับอากาศลงได้อย่างมาก ทำให้ประหยัดไฟไปได้เยอะ เหลือเงินซื้อ HDD RAM เพิ่มอีกนะเนี่ย
5. ลดการใช้พลังงานลง เพราะตอนนี้ โรค เอ้ย โลกร้อน ทุกคนต้องช่วยกัน
6. ใช้งานระบบปฏิบัติการได้หลากหลาย
7. สนับสนุนระบบ vlan อยู่ภายในเทคโนโลยีเสมือน (บางยี่ห้ออาจทำไม่ได้นะต้องลองศึกษาดูนะ)
8. สนับสนุนระบบจัดเก็บข้อมูลประเภทต่าง ไม่ว่าจะ เป็น NAS , SAN เป็นต้น
9. มีระบบช่วยกระจายงานให้กับเครื่องแม่ข่ายที่ติดตั้งอยู่ โดยอย่างน้อยต้องต่อสองเครื่องขึ้นไป ไม่งั้นคงไม่ช่วยอะไร
10. กรณีทำการ ปรับปรุงเครื่องแม่ข่ายระบบสามารถทำงานได้ต่อเนื่อง โดยการย้าย ไปทำที่เครื่องอื่นที่มีเทคโนโลยีเสมือน (เหมือนกันนะครับ ) ก่อน และเมื่อปรับปรุงเสร็จเรียบร้อยสามารถย้ายกลับมาทำต่อที่เครืองเดิมได้ โดยไม่ต้องทำการปิดระบบ
11. ลดปัญหาเรื่องของ down time ลงได้อย่างมาก จนอาจจะเหลือศูนย์ เพราะถ้ามีปัญหาอะไรที่เกี่ยวกับตัวอุปกรณ์ เทคโนโลยีเสมือนจะทำการย้าย ระบบปฏิบัติการที่อยู่ภายในเครื่อง ที่มีปัญหามาอยู่บนเครื่องที่ไม่มีปัญหา และเมื่อแก้ปัญหาเสร็จก็ย้ายกลับมาเหมือนเดิม
12. กรณีมีการ update ระบบ แล้ว มีปัญหาไม่สามารถเปิดเครื่องขึ้นมาได้ หรือไม่สามารถแก้ปัญหา อะไรได้ ก็สามารถย้อนเวลากลับไปก่อนหน้าได้ด้วย ซึ่งจะต้องทำการบันทึกไว้ก่อนนะ ไม่งั้นคงไม่สามารถช่วยอะไรท่านทั้งหลายได้ครับ ไม่ว่าจะมีของดี อย่างไร
13. มีระบบแจ้งเตือนไม่ว่าจะเป็นปัญหาของอุปกรณ์ และโหลดของระบบ ทำให้เราสามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างทันท่วงที

อย่างไร ก็ตาม เทคโนโลยีเสมือน จะสามารถใช้งานได้ดีหรือไม่ขึ้นอยู่กับเราว่าเราได้ทำตามข้อกำหนดที่เกี่ยวกับงานเทคโนโลยีสารเทศของแต่ละบริษัทได้กำหนดไว้

รายละเอียดโดยรวมได้มาจากเทคโนโลยีของ VMware โดยได้ทดสอบกับ VMware ESXi ดังนั้น เทคโนโลยีเสมือนของบริษัทอื่นๆ ควรทำการศึกษาเพิ่มเดิมและเปรียบเทียบดูนะครับ ว่าความสามารถของซอฟท์แวร์ใดจะเหมาะกับความต้องการของหน่วยงานของท่านหรือไม่ อย่างไร

วันพฤหัสบดีที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2554

อินเตอร์เน็ตขัดข้องทำไงดี

อินเตอร์เน็ตขัดข้องทำไงดี


หลายคนคงจะหงุดหงิดไม่ใช่น้อยเลย ถ้าเวลาที่เราต้องการใช้อินเตอร์เน็ต แต่ดันใช้ขึ้นมาไม่ได้ซะอย่างงั้น ทั้งๆที่ใช้อยู่ทุกวัน เกิดขัดข้อง เปิดเว็บไซต์ได้บ้างไม่ได้บ้าง รับส่ง E-mail หรือไม่ว่าจะเป็นอินเตอรืเน็ตหลุดบ่อยจนเกิดอาการเซ็งมากๆ หรือสำหรับคอเกมส์ออนไลน์ใช้งานไม่ได้ วันนี้เรามี 'วิธีแก้ไขเบื้องต้น' มาบอก จะได้แก้ไขไม่ต้องทนเสียอารมณ์อีกต่อไป

..ก่อนอื่นเพื่อนๆ ต้องเช็คดูก่อนนะคะว่า Router ของเรานั้นวางอยู่ในที่ ที่มีการระบายอากาศได้ดีหรือเปล่า เพราะ Router จะเกิดความร้อนสูงเมื่ออยู่ในที่ๆ อากาศระบายไม่ดีและที่สำคัญ อย่าเอาสิ่งของ หรือหนังสือ ไปว่างอยู่บน Router นะคะ

...สังเกตดูว่า Router ร้อนหรือป่าว
ก็เพราะ เมื่อเราใช้อินเตอร์เน็ตเป็นเวลานานๆติดต่อกัน จะทำให้เกิดความร้อน ให้คุณลองปิด Router นะคะ ปิดทิ้งไว้ ประมาณ 5-10 นาที เนื่องจากความร้อนที่เกิดขึ้นจะขัดขวางประสิทธิภาพการทำงานของ Router
...ขั้วหลวมหรือเปล่า
ให้ตรวจสอบสายภายใน/ ตลับต่อสาย/จุดต่อพ่วงต่างๆว่ามีสภาพชำรุด ขึ้นสนิม ขาด ไม่พร้อมใช้งาน หรืออาจจะต่อไม่แน่น แล้วก็ตรวจสอบกล่องกันฟ้าที่อยู่ตรงหน้าบ้านด้วยนะคะ
...Virus ป่วน
ไวรัสตัวร้ายอาจจะทำให้การเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตหลุดบ่อยนะคะ ก็เป็นเพราะ ไวรัสบางตัวมีการเขียน ขึ้นมาเพื่อขัดขวางการทำงานของคอมพิวเตอร์ ทำให้มี session ถูกยกเลิก
...ลอง Restert เครื่องคอมพิวเตอร์ เพราะโปรแกรมบนเครื่องคอมพิวเตอร์ ที่เราเปิดทำงานอาจมีความผิดปกติ
LAN CARD มีปัญหา หากว่ามีปัญหา ก็จะพบเครื่องหมายตกใจสีเหลือง หรือเครื่องหมายกากบาทสีแดง ขึ้นอยู่หน้าชื่อ LAN CARD แสดงว่าเป็นปัญหาจากเรื่องของอุปกรณ์การ์ดแลน หรือสายแลน

นี้เป็นการแก้ไขเบื้องต้นนะคะ ถ้าลองทำแล้วยังไม่ไดีขึ้น ก็ควรจะแจ้งเจ้าหน้าที่มาตรวจสอบดูนะคะ จะได้ให้ช่างเขาแก้ไขอย่างถาวรไปเลย แต่จะเสียเวลาสักหน่อยนะคะ

เครดิต http://www.oknation.net/blog/print.php?id=380047

วันพุธที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2554

เกร็ดความรู้ - วิธีติดตามเมื่อถูกโกง ซื้อขายในอินเทอร์เน็ต

หลังจากไปแจ้งความแล้ว ให้ไปดาวโหลดแบบฟอร์ม แล้วยื่นเรื่องต่อ "ศูนย์ตรวจสอบและวิเคราะห์การกระทำผิดทางเทคโนโล ยี" เห็นจับได้มาหลายรายแล้วที่ฉ้อโกงผ่านทางเว็ปบอร์ดต่างๆ

ขั้นตอนการดำเนินการ

1. กรอกข้อมูลในแบบฟอร์มการรับแจ้งเหตุ
2. จัดเตรียมเอกสาร ดังต่อไปนี้
2.1 แบบฟอร์มตาม 1
2.2 สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน
2.3 สำเนาบันทึกประจำวัน กรณีได้แจ้งความร้องทุกข์ไว้แล้ว
2.4 เอกสารข้อความโฆษณาใน Web board ที่ผู้ต้องหาโพสท์ และทำให้ท่านหลงเชื่อ
2.5 เอกสารหลักฐานการโอนเงิน เช่น Slip หรือเอกสารอื่นในการโอนเงิน เช่น Statement / Online banking transaction
2.6 หลักฐานการติดต่อสื่อสาร เช่น หมายเลขติดต่อที่บันทึกไว้, ข้อความ (SMS) หรือEmail-Address เป็นต้น
2.7 หลักฐานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง หรือเป็น

3. ระหว่างนี้ให้ท่านเดินทางมายื่นเอกสารกับเจ้าหน้าที่ ตำรวจศูนย์ตรวจสอบและ วิเคราะห์การกระทำผิดทางเทคโนโลยี อาคาร 33 ชั้น 4 สำนักงานเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ถนนพระราม 1 แขวงเขตปทุมวัน กทม. 10330 หากอยู่ต่างจังหวัด หรือไม่สะดวกให้ส่งเอกสารมาทางพัสดุไปรษณีย์ตามที่อยู่และกรุณาโทรแจ้งเรื่องส่งเอกสารมาที่ 02-2051889

ดาวน์โหลดแบบฟอร์มจับโจรได้ที่นี่ http://upic.me/i/ir/dfrom.jpg
- ก่อนทำการซื้อสินค้า กรุณาตรวจสอบให้แน่ใจว่า สินค้าและบริการ มีตัวตนจริง ไม่ว่าคนขาย จะอ้างว่า เป็นในนามบุคคล หรือบริษัทก็ตาม มิเช่นนั้น ท่านอาจต้องเสียเงินฟรี อย่ายอมเสี่ยง เพื่อแลกกับสินค้าราคาถูกกว่าความจริง!
- ในการพบปะ เพื่อติดต่อซื้อขาย โปรดระวังเหตุชิงทรัพย์ โดยหลีกเลี่ยง สถานที่เปลี่ยว, การไปพบปะ ตามลำพัง และโปรดระวัง การฉกฉวยสินค้าของท่าน

พกง. หรือพัสดุเก็บเงินปลายทาง ไม่ปลอดภัยสำหรับผู้ซื้อเสมอไป เพราะต้องจ่ายเงินก่อนที่จะเปิดดูของภายในได้ ซึ่งผู้ขายสามารถส่ง ก้อนหิน หรือ สิ่งอื่นที่มีขนาดและน้ำหนักใกล้เคียงมาแทนได้

วิธีสืบตัวคนร้ายด้วยตัวเองครับ (อันนี้ใครโดนโกงมาแล้วคันมือคันเท้าลองเลยครับ)

1.เริ่มสงสัยติดต่อไม่ได้ ให้สงสัยไว้ก่อนเลยว่า ผ่านไป 1-2 วันยังติดต่อไม่ได้ งานเข้าแน่ๆ
2.พอแน่ใจแล้วว่างานเข้า รีบไปแจ้งความแล้วส่งใบแจ้งความ แนบกับกระทู้ที่โดนโกงส่งให้ Admin ขอเลข IP ก่อนเลยนะคับ ขั้นตอนนี้ต้องทำก่อนเลย
3.นำเลข Ip ตรวจสอบว่าเป็นผู้ให้บริการ ที่ไหน เช่น TOT TT&T เป็นต้น เช็คได้จาก เน็ตเลยคับ ไม่ยากๆ
4.ทราบแล้วว่าเป็นโทรศัพท์เป็นของใคร TOT/TT&T ให้ไปแจ้งขอเบอร์บ้านด่วน โดยนำใบแจ้งความเบิกทางให้เราทั้งหมด
5.ได้เบอร์บ้านมา และที่อยู่มันก็ไม่ยากแล้วคับ แค่นี้ก็น่าจะเห็นแวว คนร้ายแล้วคับ
6.ถ้ามันใช้ร้านเน็ต ก็ขอภาพวงจรปิดได้จากร้านเลย หรือ รองสืบว่า ณ เวลานั้นเด็กคนไหนมาเล่นบ่อยๆ ทุกอย่าถ้าติดปัญหา เอาใบแจ้งความจัดการเลย
7.สืบจากเลขที่บัญชีว่าเป็นของใคร โดยไปหาที่ธนาคารว่าพอจะช่วยอะไรได้บ้าง ขอทราบเบอร์ได้ไหม หรือสาขาที่เปิดบัญชี
8.ให้ตำรวจจัดการในเรื่องของบัญชีให้ว่า มีการจ่าย ถอดเบิกไปเมื่อไรหลังจากที่เราโอนแล้วก็ขอภาพจากกล้องวงจรปิด

เพียงเท่านี้ผมก็สามารถตามตัวคนร้ายได้ไม่ยากแล้วคับ ใช้เวลาประมาณ 10 กว่าวัน คราวนี้ก็ไม่ต้องกลัวไอพวกโจรแล้วนะครับ

เครดิต http://www.mikemarang.com/index.php?topic=715.0

รู้ไว้ใช่ว่า "กฎหมายว่าด้วยการหมิ่นประมาททางอินเตอร์เน็ต"

บทความนี้จากหนังสือข่าว ส.ส.ท. โดย พรเทพ ทวีกาญจน์
เอามาลงเพื่อเป็นความรู้สำหรับคนเล่นอินเตอร์เน็ต

มาดูว่าการหมิ่นประมาททางอินเตอร์เน็ต คืออะไร ก่อนที่จะพิจารณาถึงเรื่องนี้ควรจะพิจารณาก่อนว่า หมิ่นประมาทนั้น มีลักษณะการกระทำอย่างไร หมิ่นประมาทคือ การใส่ความผู้อื่นไม่ว่าจะด้วยวิธีการใดๆ เช่น พูด เขียน พิมพ์ข้อความ หรือแสดงกริยาต่างๆ โดยการใส่ความดังกล่าวนั้น ต้องเป็นการกระทำให้บุคคลที่สามรับทราบ ซึ่งเป็นการกระทำให้ผู้ถูกใส่ความนั้น ได้รับความเสียหาย

ดังนั้น ผู้กระทำการหมิ่นประมาท จะมีความผิดทั้งทางแพ่งและทางอาญา กล่าวคือ การหมิ่นประมาทนั้น ผู้กระทำผิดจะมีความหมายทางแพ่ง ฐานละเมิดตามประมวลกฏหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 423 ซึ่งมีหลักการสำคัญ คือ ผู้กระทำได้กล่าว หรือไขข่าวแพร่หลาย ซึ่งข้อความที่ขัดต่อความเป็นจริง เป็นผลให้ผู้อื่นได้รับความเสียหาย ต่อชื่อเสียงเกียรติคุณ
นอกจากนี้การหมิ่นประมาท ยังถูกบัญญัติให้เป็นความผิดหนึ่ง ในประมวลกฏหมายอาญา มาตรา 326 ซึ่งลักษณะการกระทำคือ ผู้กระทำความผิดได้ใส่ความผู้อื่นต่อบุคคลที่สาม โดยประการที่น่าจะทำให้ผู้อื่นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง การพิจารณาข้อความที่เป็นการหมิ่นประมาทในทางอาญานั้น อาจเป็นความจริง หรือเท็จก็ได้ดังที่เคยมีคำกล่าวว่า "ยิ่งจริงยิ่งผิด" เพราะกฏหมาย มุ่งพิจารณาแต่เพียงว่าถ้ามีการกล่าวถึงบุคคลอื่น ในด้านที่ไม่ดีแล้ว ย่อมจะทำให้สังคมไม่สงบสุข ไม่ว่าข้อความนั้นจะเป็นจริงหรือไม่
ความรับผิดทางอาญา และทางแพ่งมีข้อแตกต่าง ประการสำคัญทีสุด คือ หากข้อความที่กล่าวเป็นเรื่องเท็จ ผู้กระทำจะมีความผิดทางอาญา และต้องชดใช้ค่าเสียหายทางแพ่ง แต่ถ้าข้อความที่กล่าวเป็นจริง ผู้กระทำจะมีความผิดทางอาญา แต่ไม่ต้องชดใช้ค่าเสียหายทางแพ่ง

กรณีความผิดทางอาญา ในการหมิ่นประมาททางอินเตอร์เน็ต จะมีความผิดตามมาตรา 326 ที่บัญญัติว่า "ผู้ใดใส่ความผู้อื่นต่อบุคคลที่สาม โดยประการที่ทำให้ผู้นั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมื่น หรือ ถูกเกลียดชัง ผู้นั้นกระทำความผิดฐานหมิ่นประมาท ต้องระวางโทษ จำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำและปรับ"

หากนำข้อความ หรือภาพที่มีลักษณะหมิ่นประมาท ไปลงไว้ในเว็บไซต์ คนทั่วไปย่อมสามารถเข้าถึงข้อมูลดังกล่าวได้ อันเป็นลักษณะของการโฆษณาด้วยภาพ หรือตัวอักษรที่ทำให้ปรากฎด้วยวิธีใด อย่างหนึ่ง ซึ่งในมาตรา 329 บัญญัติไว้ว่า "ถ้าความผิดฐานหมิ่นประมาท ได้กระทำโดยการโฆษณา ด้วยเอกสาร ภาพวาด ภาพระบายสี ภาพยนต์ ภาพ หรือ ตัวอักษรที่ทำให้ปรากฎ ไม่ว่าด้วยวิธีใดๆ แผ่นเสียง หรือสิ่งบันทึกเสียง บันทึกภาพ หรือบันทึกอักษร กระทำโดยการกระจายเสียง หรือกระจายภาพ หรือโดยกระทำการป่าวประกาศด้วยวิธีอื่น ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี และปรับไม่เกินสองแสนบาท" ผู้กระทำจะต้องได้รับโทษหนักกว่ามาตรา 326 เพราะการโฆษณาเป็นการทำให้ข้อความหรือภาพที่มีลักษระหมิ่นประมาทกระจายไปสู่ คนจำนวนมากกว่าการหมิ่นประมาททั่วๆ ไป

ความผิดสำเร็จในความผิดฐานหมิ่นประมาททางอินเตอร์เน็ตนั้น จะถือว่าความผิดสำเร็จเมื่อใด เมื่อพิจารณาถ้อยคำที่ว่า "โดยประการที่ทำให้ผู้นั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมื่น หรือถูกเกลียดชัง" ที่บัญญัติไว้ในมาตรา 326 นั้นไม่ใช่ผลของการกระทำความผิดฐานหมิ่นประมาท ที่ต้องถือว่าเป็นความผิดสำเร็จแล้ว แต่จะพิจารณาว่าผิดสำเร็จ หรือไม่จากวิญญูชนทั่วไป (บุคคลทั่วไป) ว่าเมื่อได้รับทราบข้อความนั้นแล้ว เห็นว่าน่าจะเกิดความเสียหายแต่ผู้อื่นหรือไม่ ถ้าเห็นว่าน่าจะเสียหาย ผู้กระทำก็จะมีความผิดแล้ว แต่ถ้าบุคคลทั่วไปเห็นว่าไม่น่าจะเสียหายแต่ผู้อื่น ผู้กระทำก็ไม่มีความผิด และต้องได้ข้อเท็จจริงว่า บุคคลที่สามรับทราบข้อความนั้นแล้ว จึงจะถือว่าเป็นความผิดสำเร็จ

ถ้าบุคคลที่สามยังไม่ได้รับทราบข้อความนั้นเลย ก็เป็นแต่เพียงขั้นพยายามหมิ่นประมาทเท่านั้น คือ ผู้กระทำได้กระทำไปตลอดแล้ว แต่การกระทำไม่บรรลุผล เช่น นายเอก ส่งอีเมลล์ให้นายโท โดยมีข้อความหมิ่นประมาทนายตรี ถ้านายโทยังไม่เปิดอ่าน ถือว่านายเอกได้กระทำไปตลอดแล้ว แต่ไม่บรรลุผล คือ นายโท ยังไม่ได้รับทราบข้อความนั้น จีงมีความผิดเพียงขั้นพยายามหมิ่นประมาทรับโทษเพียงสองในสาม แต่ถ้านายโทเปิดอ่านอีเมล์ฉบับดังกล่าวแล้ว ถือได้ว่ามีบุคคลที่สามรับทราบข้อความแล้ว จึงเป็นความผิดสำเร็จโทษเต็มตามที่กฎหมายบัญญัติ

ในกรณีเมื่อได้รับอีเมลล์ที่มีข้อความหมิ่นประมาท และได้ forward ต่อไปให้ผู้อื่น จะมีความผิดฐานหมิ่นประมาทหรือไม่ ประเด็นนี้เกิดขึ้นได้บ่อยมากในปัจจุบัน เพราะสามารถทำการส่งข้อความหรือภาพ ที่เราได้รับมาไปให้เพือนหรือ คนรู้จักกันได้อีกไม่จำกัดจำนวน ประเด็นนี้สามารถเทียบเคียงได้กับคำพิพากษาศาลฎีกาที 2822/2515 ซึ่งมีข้อเท็จจริงคือ จำเลยแสดงข้อความในจดหมายที่ได้รับจากผู้อื่น โดยรู้อยู่ว่าจดหมายนั่นมีข้อความหมิ่นประมาท ถือได้ว่าจำเลยมีความผิดฐานหมิ่นประมาท

เหตุที่มองว่าการ Forward-mail ไปให้ผู้อื่นถือเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท เพราะผู้กระทำนั้นเมื่อได้รับทราบข้อความ แล้วได้ทำการเผยแพร่ต่อไป เท่ากับเป็นการใส่ความผู้เสียหายต่อไปอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งเป็นการขยายความเสียหายออกไป อีกจึงเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทนั้นเอง แล้วถ้าหาก Forward-mail ต่อไปให้บุคคลอื่นอีกหลายคน จะถือว่าเป็นการหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณาที่ต้องรับโทษหนักขึ้น ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 328 นั้น จะต้องพิจารณาจากการกระทำเป็นหลัก ว่าเป็นการโฆษณาหรือไม่ โดยไม่คำนึงถึงจำนวนบุคคลผู้รับข้อความ ว่าจะมีจำนวนมากน้อยเพียงใด

เครดิต http://www.radompon.com

เกร็ดความรู้ : 5 อันดับ ภัยคุกคามทางอินเตอร์เน็ตจาก"ไวรัส-โทรจัน" ทีต้องระวัง

บิทเฟนเดอร์ ประเทศไทย หรือBitdefender (Thailand) ธุรกิจซอฟแวร์ป้องกันไวรัสที่มีประสิทธิภาพจากประเทศโรมาเนียเปิดเผยภัยร้ายรายเดือนที่กำลังคุกคามเครื่องคอมพิเตอร์ผ่านทางอินเตอร์เน็ต โดยงานนี้ บิทเฟนเดอร์ แล็ป ได้ทำการสรุป 5 อันดับเจ้าตัวร้าย ที่การแพร่กระจายมาจากโปรแกรมดาวโหลด (Torrent ) ที่เรียกกันว่า “Warez” และโปรแกรมการสื่อสารแบบเครื่องต่อเครื่อง หรือที่เรียกกันว่า “peer-to-peerplatform” ผ่านทางเว็บฟรีดาวน์โหลดต่าง ๆ(เว็บบิททอเร้นท์ ที่กำลังฮอตในหมู่นักท่องเน็ตในบ้านเรานั่นเอง)

เริ่มกันที่ อันดับที่ 1 Trojan.Clicker.CM ม้าโทรจันสายพันธุ์นี้พบมากในเว็บไซต์ที่มีการแชร์ไฟล์กัน เช่นเว็บทอร์แรนด์ต่าง ๆ ซึ่งเราเรียกว่า “Warez” และพบมากในเว็บที่มีการโพสต์พวกโฆษณาและสื่อล่อลวงต่างๆ เช่น ลิงค์เว็บโป๊, ฟรีเกมส์ออนไลน์เป็นต้น

อันดับที่ 2 Trojan.AutorunInf.Gen เจ้าม้าโทรจันสายพันธุ์นี้จะติดมากับ อุปกรณ์ Removable ต่างๆ เช่น FashDrive, Memory Card,External Harddrive เป็นต้น โดยเจ้าโทรจันตัวนี้จะเข้าไปฝังตัวใน Win32.Worm.Downadup and Worm.Zimuseเพื่อเจาะเข้าระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งผู้ใช้ต้องพึงระมัดระวังเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะการนำอุปกรณ์เหล่านี้ไปโอนถ่ายข้อมูลกับบุคคลอื่น เพราะมีเปอร์เซ็นเสี่ยงสูงมาก

อันดับที่ 3 Win32.Worm.Downadup.Gen โดยเจ้าตัวร้ายตัวนี้ จะเข้ามาทาง Microsoft Windows Server Service RPC ผ่านทางรีโมทโค้ตมันจะจู่โจมเข้ามาในระบบเครือข่ายภายในองค์กร ซึ่งจะทำให้ผู้ใช้ไม่สามารถอัพเดท Windowsและ ระบบ Securityได้ นอกจากนี้เจ้าวายร้ายยังปลอมตัวเป็นโปรแกรมแอนตี้ไวรัสเพื่อตบตาไม่ให้ผู้ใช้ทำการลบมันทิ้ง ดังนั้นวิธีการป้องกันเจ้าวายร้ายตัวนี้ คือการมั้นอัพเดทระบบและซอฟแวร์ป้องกันไวรัสบ่อยๆ ก็จะสามารถช่วยได้เลยทีเดียว

อันดับที่ 4 Exploit.PDF-JS.Gen ไวรัสสายพันธุ์นี้จะมาในรูปแบบของไฟล์PDF โดยจะเข้าไปในช่องโหว่ของโปรแกรม AdobePDF Reader เมื่อไฟล์ PDF ถูกเปิด Javascriptcode จะสั่งดาวโหลดอัตโนมัติและเมื่อนั้นเจ้าไวรัสสายพันธุ์นี้ก็จะเข้าไปจู่โจมทำลายหรือขโมยข้อมูลสำคัญจากเครื่องคอมพิวเตอร์ในเครือข่ายทั้งหมด ดังนั้นเมื่อต้องการดาวน์โหลด ไฟล์ PDF ขอให้ผู้ใช้ได้ทำการสแกนไฟล์ก่อนทำการเปิดใช้งานจะเป็นการช่วยป้องกันได้ในอีกสเตปหนึ่ง

อันดับที่ 5 Trojan.Wimad.Gen.1 พบมากบนเว็บที่ให้บริการดาวน์โหลดซอฟแวร์(Torrent)หรือไฟล์วีดีโอ, ไฟล์หนังต่าง ๆ(เว็บบิททอเร็นนั่นเอง)มันสามารถแฝงตัวและเชื่อมต่อกับ URL และดาวโหลดไวรัสแถมมาให้คุณตามCodec ของไฟล์วีดีโอนั้นๆ
สำหรับวิธีการป้องกันนั้น คงต้องแนะนำให้ผู้ใช้หมั่นทำการอัพเดทระบบหรือโปรแกรมรักษาความปลอดภัยอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง จะช่วยให้เครื่องคอมพิวเตอร์ทั้งของคุณและเครือข่ายปลอดภัยจากภัยร้ายได้มากขึ้น

สรุปรายงานสิบอันดับสูงสุดของภัยคุกคามทางอินเตอร์เน็ตประจำเดือนมกราคม2553 โดย BitDefender:

ชื่อสายพันธุ์ไวรัส

1 Trojan.Clicker.CM 8,30
2 Trojan.AutorunINF.Gen 8,17
3 Win32.Worm.Downadup.Gn 6,18
4 Exploit.PDF-JS.Gen 5,76
5 Trojan.Wimad.Gen.1 4,30
6 Win32.Sality.OG 2,73
7 Trojan.Autorun.AET 2,01
8 Worm.Autorun.VHG 1,69
9 Trojan.Script.254568 1,40

เครดิต น.ส.พ.มติชน ฉบับวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2553

วันเสาร์ที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2554

การเปลี่ยนแปลง ของเปลือกโลก

การเปลี่ยนแปลง(แปรรูป) ของเปลือกโลก Diformation


แบ่งเป็น 2 แบบ ได้แก่

1.การเปลี่ยนแปลงเคลื่อนที่แบบรวดเร็วฉับพลัน (abrupt movements)

มักเกี่ยวข้องกับแผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นอย่างรุนแรง จนทำให้เปลือกโลกจมตัวลงเป็นบริเวณกว้าง หรือเอียงไปข้างใดข้างหนึ่งหรือเคลือนที่ออกจากกันในแนวราบทำให้เกิดลุ่มน้ำขัง (swamps) หรือทะเลสาป เช่น ที่ราบลุ่มในภาคเหนือของประเทศไทย หรือที่ราบลุ่มตอนกลางที่เรียกว่าที่ราบลุ่มเจ้าพระยาของไทย

2. การเปลี่ยนแปลงหรือเคลื่อนที่อย่างช้าๆ (slow movemants)

แผ่นเปลือกโลกมีการเคลื่อนที่อย่างช้า ๆ เช่น แผ่นเปลือกโลกแปซิฟิคเคลื่อนที่ไปทางทิศเหนือ 5 เซนติเมตร/ปี เฉลี่ยทั้งโลก 5 - 8 เซนติเมตร/ปี
แผ่นเปลือกโลก

เปลือกโลก ประกอบด้วยแผ่นขนาดใหญ่ 6 - 10 แผ่น และมีแผ่นเล็ก ๆ ที่ประกอบกันขึ้นหลายๆแผ่นต่อกันเหมือนแผ่นกระเบื้อง <="" b="">

ถ้าเป็นเพลทที่ประกอบกันเป็นเปลือกโลกทวีป (continenental plate) มีความหนาประมาณ 50 - 100 กิโลเมตร เคลื่อนที่เร็ว ประมาณ 2 เซนติเมตร/ปี

ถ้าเป็นแผ่นเปลือกโลกที่ประกอบกันเป็นเปลือกโลกมหาสมุทร (oceanic plate) จะมีความหนาประมาณ 10 - 20 กิโลเมตรเคลื่อนที่เร็วประมาณ 10 - 20 เซนติเมตร/ปี

ลักษณะที่แผ่นเปลือกโลกกระทำต่อกัน

1. การชนกันหรือเคลื่อนเข้าหากัน

จะทำให้เเพลทใดเพลทหนึ่งมุดหัวทิ่มลงขณะที่อีกเพลทเงยหัวสูงขึ้น(ไม่ใช่ชนช้างนะจารย์ ^_^...แหมไม่รู้จะบอกอย่างไรจึงจะให้นึกภาพออกง่ายๆ...^_^.. เรียกสภาวะแบบนี้ว่า convergent bounderies และมักทำให้เกิดเทือกเขาขนาดใหญ่ทอดยาวเช่นเทือกเขาหิมาลัย ถ้าเกิดในมหาสมุทรจะทำให้เกิดร่องลึกกลางสมุทร (deep ocean trench) เป็นอาศัยของสัตวฺประหลาดและมนุษย์ต่างดาว ^_^....

2. แบบที่เพลทเคลื่อนแยกจากกัน (divergent bounderies )

จะให้เกิดแนวหินใหม่ขึ้นบริเวณที่มีการแยก หรือที่เรียกว่าสันเขากลางสมุทร (mid oceanic ridge)

3. แบบเคลื่อนที่ผ่านกันหรือเฉียด ๆ กันไป

เหมือนรถสองคันที่วิ่งเฉียดกันไปขนิดผิวแตะกัน แต่เพลทผ่านกันด้วยความเร็วเพียง 10-20 เซนติเมตร จึงไม่ก่อให้เกิดกรณีเฉี่ยวชนให้เป็นที่หวาดเสียวกันแต่ประการใด ยิ่งกรณีชนแล้วหนี ปาดหน้าในระยะกระชั้นชิดยิ่งไม่มี

เปลือกโลกทวีปแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่

1.ส่วนที่เป็นภาวะคงตัว

คือส่วนที่เป็นภูเขาเก่าแก่ประกอบด้วยหินเก่าเป็นบริเวณที่มีมากกว่าส่วนที่ไม่คงตัว มีการเคลื่อนไหวน้อยมากตรวจดูหินจะมีอายุมากกว่าแบบภาวะไม่คงตัวแบ่งออกเป็น 2 แบบ ได้แก่

1.1 หินฐานทวีป

เป็นส่วนฐานของทวีป อยู่ในระดับต่ำประกอบด้วยหินอัคนีและหินแปร เกิดจากหินเก่าแก่ พื้นที่เป็นเนินเขาระดับต่ำหรือที่ราบสูงระดับต่ำ แต่ก็อาจมีบางที่ยกตัวขึ้น

1.2 รากภูเขา(ภูเขาก็มีรากเน้าะ..)

เป็นส่วนของหินฐานทวีป แต่มีหินที่เกิดจากซากเทือกเขารุ่นก่อนแทรกอยู่เรียกว่าเก่าหนักเข้าไปอีก..และถูกอัดบีบอย่างรุนแรงจนกลายเป็นภูเขาหินแปร
ที่มีรูปร่างเป็นสันเขาแคบยาวสูงจากทะเลไม่เกิน 1000 เมตร
2. ส่วนที่เป็นภาวะไม่คงตัว

คือส่วนที่กำลังก่อเกิดเป็นเทือกเขาเนื่องกระบวนการทางธรณีวิทยา เช่น บริเวณที่มีภูเขาไฟจะทำให้เกิดภูเขาที่ประกอบด้วยหินภูเขาไฟสะสมตัวกันจนเกิดเป็นเทือกเขาขึ้น ภูเขาพวกนี้อายุยังน้อย(เมื่อเทียบกับโลก ไม่ใช่เทียบกันคน ^_^ ) เกิดจากลาวา แมกมา หรือ ทีฟรา(เศษหินภูเขาไฟขนาดต่างๆ)

นอกจากนี้ยังมีส่วนที่มีการแปรของโครงสร้าง

คือการที่เปลือกโลกเกิดการแตกหัก โค้งงอ จากแรงดันตัวภายในโลก บางที่อาจยกตัวขึ้นกลายเป็นภูเขาหรือที่ราบศุง บางที่อาจยุบตัวลงกลายเป็นที่ราบลุ่มหรือแอ่ง ภูเขาแบบนี้เกิดขึ้นมากในมหายุคซีโนโซอิก มักจะเป็นภูเขาที่สลับซับซ้อนทุรกันดาร บางทีเรียกเทือกเขาที่มีรูปแบบนี้ว่า "เทือกเขาแอลไพน์"

เนื่องจากมีลักษณะโค้งงอหรือหลาย ๆ อย่างคล้ายกับเทือกเขาแอลป์ในยุโรปกลาง พบตามรอยต่อเขตรอบมหาสมุทรแปซิฟิก ทวิปอเมริกาเหนือ เช่น เทือกเขา แอนดีส หรือถ้าอยู่ในมหาสมุทรก็จะเป็นหมู่เกาะที่มีลักษณะโค้งงอ เช่น หมู่เกาะญี่ปุ่น หมู่เกาะฟิลิบปิน หมูเกาะอาลิวเซียน เป็นต้น

ขอขอบคุณ ข้อมูลที่มีประโยชน์จาก เว็บไซต์ กิตติยาดอทคอม
เพื่อร่วมกันสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้บนโลกอินเตอร์เน็ต

วันอังคารที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2554